“ระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยแอปพลิเคชันคลาวด์เนทีฟ คืออนาคตของทุกธุรกิจ” โดย OutSystems
การพัฒนาไปสู่คลาวด์เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปสำหรับหลาย ๆ บริษัท โดยการพัฒนาที่ว่านี้หมายถึงการโยกย้ายระบบ (Migration) ซึ่งประกอบด้วยหลายขั้นตอน เช่น การสร้างต้นแบบ การทดสอบ และในบางกรณีอาจมีการทดลองใช้งานจริง โดยครอบคลุมช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากระบบคลาวด์มีการพัฒนาปรับปรุงมาโดยตลอด ทำให้ทุกวันนี้เราได้รับประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมจากเทคโนโลยีนี้ และยังสามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ โดยใช้บริการในรูปแบบของคลาวด์
ทั้งหมด คือ ระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยแอปพลิเคชันคลาวด์เนทีฟ (หรือ Cloud–Native Application Economy) หรือแอปพลิเคชันที่มุ่งเน้นคลาวด์เป็นหลัก (Cloud-First) โดยประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาก็คือ ในเศรษฐกิจแบบใหม่นี้ ระบบเทคโนโลยีที่เป็นศูนย์กลางจะทำงานอย่างไร และบริษัทต่าง ๆ ควรดำเนินการอย่างไรเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากรูปแบบการประมวลผลที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
คลาวด์ 1.0 รองรับการดำเนินงานด้านไอที
อย่าลืมว่าเทคโนโลยีคลาวด์อยู่รอบตัวเรามาได้สักระยะแล้ว แต่เป็นรูปแบบของบริการแพลตฟอร์มคลาวด์ (หรือ Cloud-as-a-Platform) ที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้แก่ฝ่ายไอที ขณะเดียวกัน ส่วนงานไอทียังต้องการใช้ระบบคลาวด์เพื่อปรับปรุงความยืดหยุ่น เพิ่มความสามารถในการปรับขนาด ความปลอดภัย รวมถึงโอกาสในการขยายการดำเนินงานไปยังพื้นที่อื่น ๆ ของโลก โดยอาศัยระบบดาต้าเซ็นเตอร์จำนวนมากที่เชื่อมต่อกันจนกลายเป็นเครือข่ายคลาวด์ที่ครอบคลุมทั่วโลก
ที่จริงแล้ว คลาวด์เนทีฟ เป็นเรื่องของการปลดล็อคคุณประโยชน์ที่แท้จริงของคลาวด์ที่ระดับของแอปพลิเคชัน
แอปพลิเคชันคลาวด์เนทีฟมีลักษณะที่สามารถประกอบสร้างขึ้นได้ กล่าวคือ แอปพลิเคชันดังกล่าวสามารถสร้างขึ้นโดยการนำเอาคอมโพเนนต์ที่ดีที่สุดมาประกอบเข้าด้วยกัน เพื่อนำเสนอบริการและฟังก์ชั่นต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกันในรูปแบบผสมผสานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ตามกรอบเวลาและจุดให้บริการที่เหมาะสมที่สุด โดยขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การใช้งานของแอปพลิเคชันนั้น ๆ
เนื่องจากแอปพลิเคชันคลาวด์เนทีฟมีลักษณะแยกเป็นส่วน ๆ และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นจึงสามารถทำการปรับเปลี่ยนได้อย่างฉับไวเมื่อถึงคราวจำเป็น โดยครอบคลุมขอบเขตกว้างขวาง ตัวอย่างเช่น การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นส่งผลให้ธุรกิจต่าง ๆ ต้องหยุดชะงัก เราจึงเห็นบริษัทแท็กซี่รีบเปลี่ยนไปให้บริการส่งอาหารในทันที ขณะที่ร้านขายยาแตกไลน์ธุรกิจไปสู่บริการช่วยเหลือชุมชน ส่วนผู้ผลิตเครื่องดื่มที่มีโรงงานบรรจุขวดก็ปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจอย่างรวดเร็วเพื่อรับจ้างผลิตเจลล้างมือ และยังมีกรณีตัวอย่างอื่น ๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นทั่วโลก
ความจริงเบื้องหลังนวัตกรรมเหล่านี้ก็คือ บริษัทต่าง ๆ ที่ว่านี้ใช้เครือข่ายแอปพลิเคชันคลาวด์เนทีฟอยู่แล้ว จึงสามารถปรับตัวและปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจได้อย่างยืดหยุ่นและมีความคล่องตัวสูง
คลาวด์สำหรับลูกค้า
ถ้าหากคลาวด์ยุค 1.0 รองรับส่วนงานไอที คลาวด์ 2.0 ก็เริ่มเปลี่ยนย้ายไปสู่ระบบไฮบริดมัลติคลาวด์ตามที่เราพบเห็นกันโดยทั่วไปในปัจจุบัน และทั้งหมดนี้ปูทางไปสู่คลาวด์ 3.0 (ที่อาจมีขั้นตอนอื่น ๆ เพิ่มเติม ขึ้นอยู่กับคำจำกัดความที่แตกต่างกัน) เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ ผู้ใช้งาน และการให้บริการลูกค้า
ทุกวันนี้ระบบคลาวด์จะทำหน้าที่ให้บริการแอปพลิเคชันสำหรับลูกค้าในระดับที่หนึ่ง แต่ขณะเดียวกันพนักงานก็เริ่มคาดหวังว่าจะได้รับบริการแอปพลิเคชันคลาวด์เนทีฟในระดับเทียบเท่าเพื่อรองรับการทำงาน นับเป็นการพัฒนาต่อยอดที่องค์กรต่าง ๆ ควรตระหนักและยอมรับตั้งแต่ต้น
ระบบคลาวด์ที่รองรับการดำเนินงานส่วนหน้า ส่วนกลาง และส่วนหลัง
ในเรื่องของประสบการณ์ เราจำเป็นที่จะต้องพิจารณาถึงการดำเนินงานส่วนหน้า (ลูกค้า) การดำเนินงานส่วนกลาง (ตัวองค์กร) และการดำเนินงานส่วนหลัง (ฝ่ายไอที) ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องทำงานสอดประสานกันเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในทุกขั้นตอน บริการที่นำเสนอในระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยแอปพลิเคชันคลาวด์เนทีฟจะต้องสามารถปรับขนาดเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด โดยที่ผู้ใช้งาน (ภายในหรือภายนอกองค์กร) ไม่สามารถสังเกตเห็นประสิทธิภาพที่ลดลงไม่ว่าจะนำคลาวด์มาใช้ในระดับใดก็ตาม
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นโดยตรงจากระบบพื้นฐานแบบคลาวด์เนทีฟก็คือ ความสามารถในการปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคล (Personalisation) รวมถึงการปรับแต่งอย่างละเอียดสำหรับผู้ใช้แต่ละคนในลักษณะที่ปรับเปลี่ยนได้และมีความคล่องตัวสูง โดยองค์กรต่าง ๆ จะสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่แน่ชัดในระดับที่ละเอียดมากอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการควบคุมการปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคลบนแพลตฟอร์มคลาวด์
หลีกเลี่ยงงานที่คั่งค้างสำหรับแอปพลิเคชัน
ปัญหางานที่คั่งค้างสำหรับแอปพลิเคชัน (Application Backlog) อาจส่งผลให้ระบบต่าง ๆ มีความเปราะบาง อ่อนแอ และไม่ปลอดภัย และทำให้ลูกค้า ผู้ใช้งาน คนกลาง และพาร์ทเนอร์ไม่สามารถเข้าใช้งานฟีเจอร์และฟังก์ชั่นใหม่ ๆ ได้อย่างเหมาะสม ขณะที่ฝ่ายไอทีต้องเร่งแก้ไขซอฟต์แวร์ที่มีอยู่โดยใช้วิธีติดตั้งแพตช์เพื่ออุดช่องโหว่ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาข้อมูลรั่วไหลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เราสามารถขจัดงานที่คั่งค้างสำหรับแอปพลิเคชันได้ด้วยการใช้เครื่องมือแพลตฟอร์มแอปพลิเคชันประสิทธิภาพสูงที่มีฟังก์ชั่นการพัฒนาแบบ Low Code เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย และพลิกโฉมธุรกิจสู่รูปแบบคลาวด์เนทีฟ แพลตฟอร์มประสิทธิภาพสูงจะช่วยให้สามารถสร้างแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น โดยใช้วิศวกรซอฟต์แวร์ที่องค์กรมีอยู่เดิม
ไอทีเปลี่ยนจากการเป็นต้นทุนไปสู่ศูนย์กลางของการสร้างกำไร
ในอดีต ส่วนงานไอทีถูกมองว่าเป็นศูนย์รวมของต้นทุน (Cost Centre) และก่อให้เกิดภาวะขาดทุนในงบดุลของบริษัท ทว่าในอนาคต ธุรกิจมีความคาดหวังใหม่ ๆ ที่มากขึ้นในด้านไอที
ปัจจุบัน ซอฟต์แวร์และธุรกิจจำเป็นต้องพึ่งพากัน โดยซอฟต์แวร์เป็นตัวกำหนดทิศทางของธุรกิจ และธุรกิจก็เป็นตัวกำหนดแนวทางการสร้าง ติดตั้ง ใช้งาน จัดการ และดูแลรักษาซอฟต์แวร์ขององค์กร หมายความว่าส่วนงานไอทีได้ปรับเปลี่ยนไปสู่การเป็นศูนย์กลางการสร้างกำไร (Profit Centre) ให้แก่องค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากองค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากซอฟต์แวร์ได้อย่างเต็มศักยภาพภายในระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยแอปพลิเคชันคลาวด์เนทีฟ
นอกจากนี้เรายังสามารถกำหนดกลยุทธ์ด้านการตลาดที่รองรับการสร้างสรรค์นวัตกรรมแปลกใหม่ รวมไปถึงเพิ่มความคล่องตัวและความสามารถในการปรับตัวเหมือนกับที่บางบริษัทได้แสดงให้เห็นในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาด ซึ่งความได้เปรียบดังกล่าวจะช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างรูปแบบการค้าในอนาคตที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นภายในระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยแอปพลิเคชันคลาวด์เนทีฟ อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ องค์กรธุรกิจจะต้องปรับใช้แอปพลิเคชันคลาวด์เนทีฟ เพื่อให้สามารถปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งอาจเป็นเรื่องลำบากถ้าหากยังคงใช้ระบบไอทีแบบเก่า ขณะที่แพลตฟอร์ม Low Code ประสิทธิภาพสูง คือ ทางเลือกใหม่ที่จะช่วยให้องค์กรสามารถปรับเปลี่ยนธุรกิจได้อย่างเหมาะสมตามกรอบเวลาที่ต้องการ
โดย นายเติมศักดิ์ วีรขจรพงษ์ รองประธานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอาท์ซิสเต็มส์