October 15, 2025

Pat Gelsinger เปิดแผล Intel: 15 ปีแห่งการตัดสินใจที่ผิดพลาด สู่ภาวะถดถอยในยุค AI

การกลับมาของ Pat Gelsinger ในตำแหน่ง CEO ของ Intel เมื่อปี 2021 เคยถูกมองว่าเป็นความหวังครั้งสำคัญที่จะกอบกู้อดีตยักษ์ใหญ่แห่งวงการเซมิคอนดักเตอร์ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่การ “เกษียณ” อย่างกะทันหันของเขาเมื่อปลายปี 2024 ตอกย้ำถึงวิกฤตการณ์ที่ฝังรากลึก ล่าสุด Gelsinger ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์อินเทลอย่างเผ็ดร้อน ในรายการ Squawk Box ของ CNBC ชี้ให้เห็นถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาดตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นต้นตอที่ทำให้บริษัทสูญเสียความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีและตามหลังคู่แข่งในสมรภูมิ AI

ความล้มเหลวที่สะสมมานานกว่าทศวรรษ

Gelsinger ซึ่งเคยเป็นลูกหม้อของ Intel มากว่า 30 ปี และดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) คนแรกของบริษัท ยอมรับว่า Intel ได้ทำการตัดสินใจที่ผิดพลาดมาอย่างต่อเนื่อง ปัญหาหลักคือการสูญเสียความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่เคยเป็นจุดแข็งของบริษัทมาโดยตลอด Gelsinger ชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวสำคัญหลายประการที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะกลับมารับตำแหน่ง:

  • พลาดโอกาสในตลาดสมาร์ทโฟน: Intel ล้มเหลวในการเจาะตลาดอุปกรณ์พกพา แม้จะพยายามพัฒนาซีพียูตระกูล Atom แต่ก็ไม่สามารถแข่งขันกับสถาปัตยกรรมของ Arm ได้ ทำให้สูญเสียตลาดที่เติบโตอย่างมหาศาลไป อีกทั้งยังมีรายงานว่า Intel เคยปฏิเสธข้อตกลงในการผลิตชิปให้กับ Apple สำหรับ iPhone รุ่นแรก ซึ่งถือเป็นการประเมินแนวโน้มตลาดที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง
  • ยกเลิกโครงการ GPU: การตัดสินใจยุติโครงการ Larrabee ซึ่งเป็นความพยายามสร้างสถาปัตยกรรมไฮบริดที่รวม CPU และ GPU เข้าด้วยกันในปี 2009 ได้เปิดทางให้ Nvidia ก้าวขึ้นมาครองตลาด GPU อย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่งกลายเป็นหัวใจสำคัญของการประมวลผล AI ในปัจจุบัน
  • หลงทางในกระบวนการผลิต: Gelsinger วิจารณ์ว่า Intel มุ่งเน้นการสร้างโรงงานผลิต (Fab) ที่ล้ำสมัยมากเกินไป จนละเลยการพัฒนาและการออกแบบ ซึ่งนำไปสู่ความล่าช้าในการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีการผลิต เช่น ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นกับโหนด 10 นาโนเมตร

เดิมพันครั้งสุดท้ายกับแผนฟื้นฟู IDM 2.0

การกลับมาของ Gelsinger ในปี 2021 มาพร้อมกับกลยุทธ์ “IDM 2.0” ซึ่งเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่เพื่อพลิกฟื้นบริษัท กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นการปรับโมเดลธุรกิจ โดยตั้งหน่วยธุรกิจใหม่ Intel Foundry Services (IFS) เพื่อรับจ้างผลิตชิปให้กับบริษัทอื่น ๆ ควบคู่ไปกับการผลิตชิปของตัวเอง นอกจากนี้ เขายังพยายามผลักดัน Intel เข้าสู่ยุค “AI PC” ด้วยการเปิดตัวชิปประมวลผลสำหรับ AI โดยเฉพาะ Gelsinger เคยกล่าวว่าการที่ Intel มีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง ทำให้สามารถรับมือกับภาวะขาดแคลนชิปได้ดีกว่าบริษัทอื่น ๆ ที่จ้างผลิตภายนอก

อย่างไรก็ตาม แผนฟื้นฟูที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาลกลับไม่คืบหน้าเท่าที่ควร ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงจากคู่แข่งอย่าง Nvidia ที่ครองตลาด AI Data Center และ AMD ที่ชิงส่วนแบ่งตลาดโปรเซสเซอร์ไปได้อย่างต่อเนื่อง สุดท้าย Gelsinger ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากคณะกรรมการบริหาร จนนำไปสู่การก้าวลงจากตำแหน่งก่อนครบวาระ 4 ปีตามแผนที่วางไว้

บทบาทของรัฐบาลและอนาคตที่ท้าทาย

ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญผ่านกฎหมาย CHIPS Act เพื่อกระตุ้นการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ ซึ่ง Intel เป็นหนึ่งในผู้ได้รับผลประโยชน์รายใหญ่ แต่ Gelsinger ก็ได้วิจารณ์ความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลชุดก่อนอย่างตรงไปตรงมา โดยชี้ว่าช่วงเวลา 2-3 ปีที่เงินไม่ถูกนำมาใช้ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่สูญเสียไป

สำหรับอนาคตของ Intel ยังคงเต็มไปด้วยความท้าทาย CEO คนใหม่จะต้องเผชิญกับภารกิจที่หนักหน่วงในการสานต่อกลยุทธ์โรงหล่อชิป พร้อมกับเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถแข่งขันในตลาด AI ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วให้ได้ การเดินทางของอดีตยักษ์ใหญ่รายนี้จึงยังคงเป็นที่น่าจับตามองว่า จะสามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตและกลับมายืนในแถวหน้าของวงการเทคโนโลยีได้อีกครั้งหรือไม่

ที่มา

ที่มา