July 12, 2025

CEO รับ “อินเทลหลุดจาก Top 10 เซมิคอนดักเตอร์โลก” แต่บริษัทอาจไม่อ่อนแออย่างที่เห็น

คำพูดของ Lip‑Bu Tan ซีอีโออินเทลที่ว่า “เราหลุดจาก Top 10 เซมิคอนดักเตอร์โลก” กลายเป็นกระแสข่าวที่ถูกสื่อทั่วโลกนำไปเล่นเป็นประเด็นอย่างกว้างขวาง สร้างความหวั่นไหวและความกังวลใจให้กับพนักงานภายในองค์กรและตลาดโดยรวมอย่างมาก อย่างไรก็ตาม หากมองให้ลึกลงไปเบื้องหลังคำพูดนี้ กลับมีความหมายและเจตนาที่มากกว่าแค่การ“ยอมรับความพ่ายแพ้” ในสนามแข่งขันธุรกิจ

ในความเป็นจริงแล้ว คำพูดนี้เป็นการสะท้อนถึงสถานการณ์ความท้าทายที่ Intel กำลังเผชิญ พร้อมกับส่งสัญญาณถึงความจำเป็นในการปฏิรูปองค์กรอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ทันกับยุคที่เทคโนโลยี AI และเซมิคอนดักเตอร์ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว

จริงหรือแค่กลยุทธ์ “สร้างวิกฤต” เพื่อเร่งเปลี่ยนแปลง?

เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา Lip‑Bu Tan ซีอีโอของอินเทลประกาศอย่างตรงไปตรงมาว่า บริษัทไม่ได้อยู่ใน 10 อันดับแรกของบริษัทเซมิคอนดักเตอร์อีกต่อไป พร้อมยอมรับว่าบริษัทมาช้าเกินไปในสนามแข่งขัน AI ที่ NVIDIA กำลังครองตลาดอย่างชัดเจน คำพูดนี้สร้างความฮือฮาและถูกตีความว่าอินเทลกำลังตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติอย่างรุนแรง

การใช้ถ้อยคำแรงเพื่อสร้างความเร่งด่วนในองค์กรไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการเทคโนโลยี หลายองค์กรยักษ์ใหญ่ในอดีต เช่น Apple และ IBM เคยใช้วิธีนี้เพื่อจูงใจพนักงานและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียยอมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นั่นคือกลยุทธ์ที่เรียกว่า “Burning Platform” เพื่อกระตุ้นการปฏิรูปอย่างจริงจังและรวดเร็ว

อินเทลเองก็มีสัญญาณชัดเจนว่ากำลังเดินเกมนี้ด้วยการปรับโครงสร้างองค์กร ลดพนักงาน และเปลี่ยนวัฒนธรรมให้ทันสมัยและคล่องตัวมากขึ้น

แม้ว่าคำพูดของ Tan จะดูรุนแรง แต่ข้อมูลรายได้และกำไรของอินเทลยังแสดงว่า บริษัทยังคงเป็นหนึ่งในผู้นำในตลาดเซมิคอนดักเตอร์โลก โดยยังติดอยู่ในอันดับท็อป 5 ของบริษัทที่มีรายได้สูงที่สุด รองจากซัมซุง, Nvidia, TSMC และ Broadcom

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อินเทลต้องการสื่อคือ ในด้านความสามารถแข่งขันโดยเฉพาะตลาด AI นั้น ยังตามหลัง NVIDIA อย่างชัดเจน

เทคโนโลยีล้ำสมัยของอินเทล: 18A, RibbonFET และ PowerVia

อินเทลกำลังวางแผนเปิดตัวเทคโนโลยีผลิตชิประดับสูงสุดในชื่อ 18 Ångström หรือ 18A ซึ่งมีขนาดฟีเจอร์เพียง 1.8 นาโนเมตร โดยเลือกใช้หน่วย “Ångström” แทน “นาโนเมตร” เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนในวงการที่ตัวเลขนาโนเมตรกลายเป็นชื่อการตลาดมากกว่าขนาดจริง

เทคโนโลยีนี้ผสมผสานสถาปัตยกรรมทรานซิสเตอร์ RibbonFET ที่ออกแบบเป็นแถบริบบิ้นหลายชั้นเพิ่มประสิทธิภาพและลดพลังงาน และ PowerVia ที่เป็นเทคนิคการจ่ายไฟจากด้านหลังชิป ช่วยลดสัญญาณรบกวนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

การผสมผสานนี้ถือเป็นก้าวกระโดดสำคัญของอินเทล ที่จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์เร็วขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้นในยุค AI

ทำไม 18A ยังไม่พร้อมให้ลูกค้านอกองค์กรใช้ แต่เน้นที่ 14A?

แม้ 18A จะเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า แต่อินเทลเลือกใช้ 18A กับผลิตภัณฑ์ของตัวเองก่อน เช่น ซีพียู Xeon รุ่นใหม่ในปี 2025 เพื่อทดสอบและปรับปรุงระบบการผลิต

ในขณะที่ 14 Ångström หรือ 14A ซึ่งเป็นรุ่นที่พัฒนาต่อจาก 18A แต่มีความเสถียรและพร้อมสำหรับการใช้งานในเชิงพาณิชย์มากกว่า จะถูกเปิดให้ลูกค้าภายนอกใช้งานผ่านบริการ Intel Foundry Services

เหตุผลที่อินเทลเลือกเช่นนี้คือเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดกับลูกค้าภายนอกในกรณีที่ 18A ยังมีปัญหาเรื่องคุณภาพหรือการผลิต

การปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อความคล่องตัว

อินเทลได้ดำเนินการลดจำนวนพนักงานหลายร้อยตำแหน่งทั้งในสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล เพื่อให้บริษัทมีความคล่องตัวและพร้อมรับมือกับการแข่งขันในยุค AI โดยเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการในตลาด Edge AI และ AI agents ซึ่งเป็นตลาดที่อินเทลยังคงมีความได้เปรียบและโอกาสเติบโตสูง

การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ใหญ่ในการพลิกฟื้นองค์กรและปรับตัวให้ทันกับโลกเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

อนาคตของ Intel

อินเทลไม่ได้กำลังอ่อนแอจนหมดหวัง หากแต่กำลังใช้ “วิกฤต” เป็นเครื่องมือเร่งปฏิรูปองค์กร ปรับเทคโนโลยี และปรับกลยุทธ์เพื่อให้ทันโลกยุค AI

หากสามารถดำเนินแผนการนี้ได้สำเร็จอินเทลมีโอกาสกลับมาเป็นผู้เล่นหลักในตลาดเซมิคอนดักเตอร์โลก และอาจกลายเป็นผู้นำเทคโนโลยีที่สำคัญของยุค AI ได้ในอนาคต

ที่มา

ที่มา

ที่มา