June 24, 2025

เมื่อ AI ทำให้สมอง “ขี้เกียจคิด” มากขึ้น แนะควรใช้ AI หลังจาก เริ่มคิดเองแล้ว

ในยุคที่ AI กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในชีวิตประจำวันของนักเรียน นักศึกษา และคนทำงานทั่วโลก งานวิจัยล่าสุดจาก MIT Media Lab กำลังเขย่าวงการการศึกษาและเทคโนโลยี เมื่อพบว่า การใช้ AI อย่าง ChatGPT ในงานเขียน อาจส่งผลให้กิจกรรมในสมองลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และยัง ส่งผลต่อการจดจำเนื้อหาและการเรียนรู้ระยะยาว

ทีมนักวิจัยนำโดย Dr. Nataliya Kosmyna ได้ทำการทดลองกับนักศึกษากลุ่มหนึ่งในพื้นที่บอสตัน โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักในการเขียนเรียงความ:

  • กลุ่มแรกเขียนด้วยสมองล้วน ๆ (ไม่มีเครื่องมือช่วย)
  • กลุ่มที่สองใช้ Search Engine เพื่อค้นคว้า
  • กลุ่มที่สามใช้ GPT-4o ของ OpenAI ช่วยเขียน

ระหว่างการเขียน นักศึกษาทุกคนสวมเครื่องวัดคลื่นสมอง (EEG) เพื่อวัดการเชื่อมต่อของสมองในแต่ละส่วน โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า Dynamic Directed Transfer Function (dDTF) ซึ่งสามารถวัดการไหลของข้อมูลระหว่างส่วนต่าง ๆ ของสมองได้อย่างแม่นยำ

ผลการทดลองพบว่า การเชื่อมต่อของสมองลดลงอย่างชัดเจนในกลุ่มที่ใช้ AI:

  • กลุ่มที่ใช้ Search Engine มีค่าการเชื่อมต่อของสมอง (dDTF) ลดลง 34–48% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่เขียนด้วยตัวเอง
  • กลุ่มที่ใช้ GPT-4o มีค่าการเชื่อมต่อลดลงสูงสุดถึง 55%

กล่าวคือ ยิ่งใช้เครื่องมือภายนอกมากเท่าไร สมองของเรายิ่ง “ขี้เกียจคิด” มากขึ้นเท่านั้น

นอกจากสมองจะทำงานน้อยลงแล้ว ทีมวิจัยยังพบว่า กลุ่มที่ใช้ GPT-4o มีคะแนน การจดจำเนื้อหา และความรู้สึกเป็นเจ้าของเนื้อหา ต่ำที่สุด และเมื่อให้นักศึกษากลุ่มที่เคยใช้ GPT-4o ถูกเปลี่ยนให้เขียนเองโดยไม่ใช้ AI พวกเขาก็ทำผลงานได้แย่ลงกว่ากลุ่มอื่นอย่างเห็นได้ชัด

ในทางกลับกัน กลุ่มที่เริ่มจากการคิดเอง เมื่อได้ลองใช้ AI กลับสามารถปรับตัวและใช้เครื่องมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสมองยังคงทำงานอย่างกระตือรือร้น

แล้วควรใช้ AI ยังไงดี

จากข้อมูลดังกล่าว ทีมวิจัยจาก MIT สรุปว่า ” การใช้ AI ตั้งแต่ต้นในกระบวนการเรียนรู้ อาจทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ตื้น (shallow encoding) ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการจดจำและวิเคราะห์ระยะยาว “

รูปแบบการเรียนรู้ที่ดีควรให้ผู้เรียน “ใช้สมองคิด วิเคราะห์ และสังเคราะห์เองก่อน” จากนั้นจึงนำ AI เข้ามาเป็นเครื่องมือเสริมในภายหลัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโดยไม่ลดทอนการใช้ความคิด

ที่มา