May 3, 2024

NTT เผย 7 คาดการณ์เทคโนโลยีสำคัญสำหรับปี 2024

เมื่อเร็วๆ นี้ NTT ได้เผยแพร่รายงานการคาดการณ์ 7 เทคโนโลยีหลักสำหรับปี 2024 พร้อมมั่นใจปีที่กำลังมาถึงคือช่วงเวลาที่ชาวโลกได้เห็นการผสมผสานทั้งแนวโน้มเกิดใหม่และแนวโน้มหลักที่มีการยอมรับอยู่แล้ว ซึ่งเป็นผลจากที่หลายบริษัทมีทีมไอทีเตรียมวางแผนยุทธศาสตร์ พร้อมเดินหน้าปรับตัวให้เข้ากับสุดยอดเทคโนโลยีเขย่าโลกแห่งปี 2023 อย่าง Generative AI คาดว่าจะส่งให้เกิดความก้าวหน้าทั้งด้านเครือข่าย, การประมวลผลแบบ Edge, Private 5G หรือการใช้บริการ 5G แบบส่วนตัว, ศูนย์ข้อมูล และระบบคลาวด์

“การนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้หรือ AI Adoption กำลังมีการเติบโตแบบทวีคูณ แต่ด้วยแนวคิด AGI และสุดยอดเทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์นั้นยังคงต้องใช้เวลาอีกระยะในการพัฒนา ดังนั้น มนุษย์จึงจะยังคงเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรม AI” Shahid Ahmed รองประธานบริหาร กลุ่มกิจการใหม่และนวัตกรรม บริษัท NTT Ltd. กล่าวย้ำว่าองค์กรต่างๆ จำเป็นต้องขยายวิสัยทัศน์ให้มองไกลกว่าปีหน้า เพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทจะมีความสามารถในการเปิดรับเทคโนโลยีในอนาคต และประสบความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน

  1. Dark NOC จะมีอิทธิพลต่อโลกเครือข่าย

ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้จัดการงานไอที หรือ AIOps (Artificial Intelligence for IT Operations นั้นทำให้เกิดเป็นแนวคิดการสร้างศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัตโนมัติเต็มรูปแบบที่ทำงานได้โดยไม่ต้องเปิดไฟแม้แต่ดวงเดียว แนวคิดนี้กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว คาดว่าในอีก 12 เดือนข้างหน้า บริษัทด้านเครือข่ายหลายแห่งจะบูรณาการ AIOps ทันสมัยเข้ากับระบบงานอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายที่จะปรับปรุงคุณภาพเครือข่าย สนับสนุนการทำงานของวิศวกรระบบอย่างเต็มที่ และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้ทันสมัยยิ่งขึ้น

แม้ว่าระบบอัตโนมัติจะเป็นหัวใจสำคัญของแนวคิด Dark NOC แต่แนวคิดนี้จะสำเร็จได้เมื่อทำงานร่วมความสามารถของมนุษย์ ผู้ให้บริการเครือข่ายจึงต้องให้ความสำคัญกับการยกระดับทักษะ และทำให้แน่ใจว่าได้ดำเนินการตามขั้นตอนทางเทคโนโลยีที่จำเป็น เช่น การกำหนดมาตรฐาน API และการปรับกระบวนการข้อมูลให้เหมาะสม

ทั้งนี้ 2 เรื่องที่ยังคงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านระบบเครือข่ายในปี 2024 คือความสามารถในการวิเคราะห์ว่าระบบอัตโนมัติจะสามารถเพิ่มมูลค่าส่วนไหน และจุดใดที่ความเชี่ยวชาญของมนุษย์ยังคงเป็นสิ่งสำคัญ

  • AI จะผลักดันการลงทุนเพิ่มขึ้น ในด้านการสร้างแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่ สำหรับโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์

ตู้แรคชั้นวางศูนย์ข้อมูลหรือ data center rack แบบทั่วไปมักใช้พลังไฟฟ้าระหว่าง 6-8 กิโลวัตต์ แต่ความแพร่หลายของ AI กำลังดันให้องค์กรต้องติดตั้งแรคเพิ่มขึ้นจนเร่งการใช้ไฟฟ้าให้มากขึ้น ขณะนี้พบว่าปริมาณการใช้ไฟฟ้าแตะระดับ 50-100 กิโลวัตต์ขึ้นไป และคาดว่าการจะขยายตัวต่อเนื่องอีก 2 เท่าและ 3 เท่าในไม่กี่ปีจากนี้ ในอีกด้าน ดาต้าเซ็นเตอร์ที่หนาแน่นเหล่านี้ยังมีความร้อนมากกว่าเดิม จนต้องการระบบระบายความร้อนเพิ่มเติม กลายเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับองค์กรที่มุ่งมั่นจะบรรลุเป้าหมายปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์

สำหรับปี 2024 องค์กรจำนวนมากขึ้นจะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดกับผู้ให้บริการพลังงานเพื่อสำรวจทางเลือกที่ยั่งยืน ขณะเดียวกัน กฎระเบียบกำกับดูแลศูนย์ข้อมูลที่เข้มข้นขึ้นจะเป็นอีกแรงที่เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เนื่องจากรัฐบาลและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจะมีมาตรการยกระดับการใช้และการผลิตพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ด้านความยั่งยืนที่วางไว้ 

NTT เป็นบริษัทแถวหน้าที่นำแนวทางที่เป็นนวัตกรรมพลังงานมาใช้ ทั้งระบบทำความเย็นด้วยของเหลว (liquid immersion cooling) ระบบปรับอากาศแบบรวมศูนย์ (district heating projects) และเทคโนโลยีแผงโซลาร์เซลล์ในอวกาศ (solar panels in space) รวมถึงการวิจัยอื่นเพื่อการจ่ายพลังงานให้กับศูนย์ข้อมูลท่ามกลางโครงการหลากหลาย

  • ความยั่งยืนจะเป็นศูนย์กลางในทุกโซลูชั่นที่ใช้เทคโนโลยีเกิดใหม่

มีแนวโน้มว่าความยั่งยืนจะมีอิทธิพลมากยิ่งขึ้นในปีหน้า โดยก่อนหน้านี้ ความยั่งยืนหรือ Sustainability ได้รับการยอมรับว่าเป็น 1 ใน 3 ตัวขับเคลื่อนนวัตกรรมหลัก และเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดซื้อจัดจ้างด้านไอที ภาวะนี้จะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการนำร่องเลือกใช้เทคโนโลยี การลงทุน การจัดซื้อ และการปรับขนาดระบบของทีมไอที ซึ่งจะต้องรองรับกฎระเบียบที่กำลังอยู่ระหว่างการขยายผลและการพัฒนาอย่างเข้มงวดขึ้น 

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2024 ศูนย์ข้อมูลของเยอรมนีจะต้องจัดหาไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนให้ได้ 50 เปอร์เซ็นต์โดยไม่ได้รับเงินสนับสนุนเพิ่มเติม และเงื่อนไขนี้จะขยายขอบเขตเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2027 

บนเส้นทางสู่การบรรลุเป้าหมายปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ และส่งเสริมการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติ หลายองค์กรจะหันมาใช้เทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมมากขึ้น เช่น Private 5G (เครือข่าย 5G ส่วนตัว) ซึ่งมีการนำไปใช้แล้วโดยองค์กรทั่วโลก เช่น LyondellBasell และ Schneider Electric เพื่อขับเคลื่อนการใช้แอปพลิเคชันในโรงงานอัจฉริยะหลายแห่งให้สอดคล้องกับความมุ่งมั่นด้าน ESG ตั้งแต่ความมุ่งมั่นด้านการลดการปล่อยคาร์บอน ไปจนถึงการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนที่จะใช้ประโยชน์จากฮาร์ดแวร์โครงสร้างพื้นฐานอย่างคุ้มค่าที่สุด ทั้งหมดนี้ยังมีแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่อซัพพลายเออร์ด้านไอที ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้บรรลุเป้าหมายและ KPI การพัฒนาที่ยั่งยืน

  • เครือข่ายใยแก้วนำแสง (Optical Networking) จะถูกใช้งานมากขึ้น

การเน้นให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพของเครือข่าย ความน่าเชื่อถือ ความยั่งยืน และความพร้อมในอนาคตที่มากขึ้น จะเป็นแรงขับเคลื่อนเครือข่ายออปติกให้เป็นที่สนใจในปี 2024 โดยการทดลองล่าสุดได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการรับส่งข้อมูลที่เหนือชั้น บนอัตราการส่งข้อมูลที่ 1.2Tbps (เทราบิตต่อวินาที)

สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนให้ความต้องการโซลูชันเครือข่ายขั้นสูงเพิ่มสูงขึ้น คือผู้บริหารระดับสูงกว่า 90% ในอุตสาหกรรมต่างๆ มีความกระตือรือร้นที่จะปรับปรุงเครือข่ายของบริษัทให้ทันสมัย เพื่อรับมือกับความท้าทายที่ต้องเผชิญ และเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต 

นอกจากนี้ ความพยายามร่วมกันเพื่อเอาชนะข้อจำกัดของโครงสร้างพื้นฐานในปัจจุบัน โดยใช้เทคโนโลยีออปติคอลนั้นกำลังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยองค์กรมากกว่า 100 แห่งได้ร่วมมือกันผลักดันโครงการ IOWN (Innovative Optical and Wireless Network) ซึ่งเป็นอีกโครงการที่ช่วยให้มั่นใจว่าทั่วโลกมีความพร้อมสำหรับเทคโนโลยีในอนาคต และจะมีการนำเครือข่ายออปติกมาใช้งานมากขึ้น จนอาจเข้าใกล้การถูกใช้งานเป็นกระแสหลักหรือ mainstream ในปี 2024

  • ระบบนิเวศ IoT จะกระตุ้นการใช้ Private 5G และ Edge

การทำงานร่วมกันของ IoT, Private 5G และการประมวลผลที่ปลายทางเครือข่ายหรือ Edge (edge computing) จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับองค์กรมีข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ ส่งเสริมให้องค์กรตัดสินใจได้ดีขึ้น ขณะเดียวกัน องค์กรหลายแห่งยังเพิ่มความเข้มข้นในการเปลี่ยนผ่านระบบให้เป็นดิจิทัล เพราะมีความต้องการในการเชื่อมต่อที่เพิ่มขึ้น บนความแพร่หลายของอุปกรณ์ที่เด่นชัดมากขึ้น ทั้งหมดล้วนสะท้อนความจำเป็นให้องค์กรต้องปรับเปลี่ยนตัวเองสู่สภาพแวดล้อมที่เป็นดิจิทัลยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ความสำคัญของ Edge จึงมีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงเวลาที่หลายองค์กรแสวงหาข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนแพลตฟอร์มวิเคราะห์ที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ด้วยเครื่อง (AI/ML) โดยยูสเคสการใช้งาน ระบบอัตโนมัติที่เพิ่มขึ้นเพื่อตอบโจทย์การขาดแคลนแรงงาน ความก้าวหน้าของระบบคอมพิวเตอร์วิทัศน์ (computer vision หรือระบบมองเห็นด้วยคอมพิวเตอร์) และเทคโนโลยีดิจิทัลทวิน (digital twin) ซึ่งเป็นแบบจำลองเสมือนจริงจะผลักดันความต้องการพลังความสามารถของ Edge ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

เพื่อการพัฒนาธุรกิจอย่างรวดเร็ว องค์กรจำนวนมากหันไปหาการสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอก โดย 8 ใน 10 คาดว่าจะพึ่งพาบริการ Edge จากบริษัทอื่นเพิ่มมากขึ้นใน 2 ปีข้างหน้า

ปัจจุบัน NTT และพันธมิตรต่อยอดความเชี่ยวชาญร่วมกันเพื่อตอบความต้องการอุปกรณ์ 5G ซึ่งรองรับยูสเคสการใช้งานที่หลากหลาย เช่น อุปกรณ์สื่อสารแบบกดเพื่อพูด (push-to-talk) อุปกรณ์สวมศีรษะเทคโนโลยีเออาร์เสมือนจริง (augmented reality headset) กล้อง computer vision และเซ็นเซอร์หรืออุปกรณ์ตรวจจับข้อมูลที่เอดจ์ ครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรมการผลิต ยานยนต์ โลจิสติกส์ และอื่น ๆ ที่โฟกัสกับการทำงานบนเครือข่ายข้อมูลส่วนตัว (private network) และ Private 5G

  • ทักษะมนุษย์ยังคงเป็นสิ่งสำคัญในยุค AI

รายงาน Global CX Report ประจำปี 2023 ของ NTT พบว่าส่วนสำคัญของการมีปฏิสัมพันธ์เพื่อสร้างประสบการณ์ลูกค้า (CX) ยังคงจำเป็นต้องมีส่วนร่วมจากมนุษย์เป็นองค์ประกอบ แม้ว่าองค์กร 4 ใน 5 แห่งวางแผนที่จะบูรณาการ AI เข้ากับการมอบประสบการณ์ลูกค้าในอีก 12 เดือนข้างหน้า แต่ผู้บริหารจำนวนมากยังมองทรัพยากรมนุษย์เป็นแกนสำคัญต่อเส้นทางที่ผู้บริโภคเดินไป

ในขณะที่องค์กรมากมายลงมือสำรวจว่าระบบอัตโนมัติสามารถประสานและเพิ่มขีดความสามารถของมนุษย์ได้อย่างไร คาดว่าองค์กรเหล่านี้จะเพิ่มการมุ่งเน้นเรื่องการจัดการกับช่องว่างทักษะที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นความท้าทายต่อแรงบันดาลใจในการใช้งาน AI ทั้งนี้ ความเชี่ยวชาญพื้นฐานของ AI และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) นั้นพร้อมที่จะกลายเป็นทักษะพื้นฐานสำหรับงานส่วนใหญ่ในหลายอุตสาหกรรม ซึ่งจะไม่เพียงแต่ในพนักงานใหม่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการริเริ่มทักษะใหม่และยกระดับทักษะในพนักงานเดิมด้วย

การวิจัยโดย NTT DATA ยังพบว่าธุรกิจที่มีความสามารถในการทำกำไรมากกว่า 25% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มักเกิดจากการลงทุนในการเพิ่มทักษะใหม่และยกระดับทักษะ แนวโน้มนี้คาดว่าจะดำเนินต่อไปในปี 2024 โดยมีการปรับประสบการณ์การศึกษาให้เหมาะสมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บนเป้าหมายเพื่อเชื่อมช่องว่างด้านทักษะ และตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปขององค์กร

  • คลาวด์คอมพิวติ้งล่องหนได้ จะเริ่มเชี่ยวชาญเฉพาะทาง

เมื่อทำงานได้อย่างราบรื่น สภาพแวดล้อมคลาวด์จะค่อยๆ ล่องหนหรือหายไปในพื้นหลัง โดยจะปล่อยให้แอปพลิเคชันกลายเป็นจุดสนใจที่โดดเด่น ซึ่งแม้ว่าคลาวด์ล่องหนนี้จะถูกนำไปใช้กับทั้งแอปพลิเคชันสำหรับสำนักงานทั่วไป, เครื่องมือการจัดการโครงการ, โซลูชัน CRM และงานอื่นในลักษณะเดียวกันอย่างประสบความสำเร็จแล้ว แต่ยังถือว่าไม่สมบูรณ์แบบสำหรับอุตสาหกรรมเฉพาะทาง โดยภาวะนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงในปีหน้า

สำหรับปี 2024 คลาวด์ที่ปรับให้เหมาะกับอุตสาหกรรมเฉพาะทางจะรวมเอาซอฟต์แวร์ และรูปแบบการให้บริการคลาวด์ทั้ง PaaS และ IaaS เพื่อส่งมอบยูสเคสการใช้งานที่เน้นเพิ่มผลลัพธ์ทางธุรกิจ ทำให้เทคโนโลยีคลาวด์มีภาวะล่องหนหรือแทบจะมองไม่เห็น แนวโน้มดังกล่าวเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์การเปลี่ยนแปลงมาระยะหนึ่งแล้ว และล่าสุดพบว่ามีความสนใจมากขึ้นในการทำโครงการลักษณะนี้

ทั้งนี้ ผู้ให้บริการด้วยดิจิทัลทรานสฟอร์เมชันสำหรับอุตสาหกรรมการขนส่งและการป้องกันประเทศ มีแนวโน้มเปลี่ยนไปใช้โครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ที่มีการจัดการ (managed cloud) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายและลดต้นทุนในระยะยาว