November 24, 2024

ส่อง 5G เมื่อเทคโนโลยีดึงศักยภาพ IoT ติดปีกระบบจัดการน้ำอัจฉริยะ

เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น จึงเกิดความร่วมมือระหว่าง ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป และ ดีแทค ในการนำเทคโนโลยี 5G เข้ามายกระดับเทคโนโลยีบริหารจัดการน้ำ ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ จากเซ็นเซอร์ที่มีความแม่นยำ นำไปสู่การวิเคราะห์และบริหารจัดการน้ำได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการนำ 5G มาใช้ในระบบบริหารจัดการน้ำอัจฉริยะ (Smart Water Management) ร่วมกับอุปกรณ์อย่าง Massive Machine Type Communications (mMTC) หรือ Massive IoT ช่วยในการมอนิเตอร์คุณภาพน้ำให้เหมาะสมกับรูปแบบการใช้งานในแต่ละอุตสาหกรรม ช่วยลดความผิดพลาดในการดูแลคุณภาพน้ำ โดยเฉพาะค่าความเป็นกรดและด่าง (pH) ร่วมกับการนำเซ็นเซอร์ที่ช่วยวัดค่าออกไซด์ในน้ำ วัดระดับการขึ้น-ลงของน้ำ มาส่งข้อมูลผ่านโครงข่าย 5G ที่มีความเสถียร และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทำให้สามารถเฝ้าระวังกรณีระดับน้ำมีการเปลี่ยนแปลง หรือปรับกำลังการผลิตน้ำให้เพียงพอกับการใช้งาน โดยที่ผ่านมากลุ่มอุตสาหกรรม ที่มีความต้องการใช้น้ำมากที่สุดคือ กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้า ที่ รองลงมาคือกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี  ธุรกิจยานยนต์ ธุรกิจอุปโภคบริโภค ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบกับในพื้นที่ของแต่ละนิคมอุตสาหกรรมมีความต้องการระบบสาธารณูปโภคที่เพิ่มสูงขึ้น โดยการนำเทคโนโลยี 5G ของดีแทค มาร่วมบริหารจัดการน้ำ ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอตะวันออก (มาบตาพุด)  ที่มีพื้นที่โครงการกว่า  3,760 ไร่ ด้วยการนำเซ็นเซอร์ IoT ที่เชื่อมต่อผ่านโครงข่าย 5G มาใช้งาน จะช่วยให้ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป สามารถบริหารจัดการน้ำในนิคมฯ ทั่วประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดต้นทุนในการบริหารจัดการลงด้วย

นายราจีฟ บาวา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมาดีแทคให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับพันธมิตร ในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ 5G ซึ่งกลายเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยทรานฟอร์มภาคอุตสาหกรรมให้เข้าสู่ยุคดิจิทัล สร้างโอกาสในการแข่งขันด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย หนึ่งในนั้นคือการนำ 5G มาใช้กับระบบบริหารจัดการน้ำอัจฉริยะ ที่จะผลักดันให้รูปแบบของการให้บริการสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมเกิดการเปลี่ยนแปลง ด้วยการนำข้อมูลที่ได้แบบเรียลไทม์ และแม่นยำ จากเซ็นเซอร์ IoT จำนวนมหาศาล มาช่วยสร้างโอกาสในการบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุน ก่อนต่อยอดสู่การนำไปใช้งานในระดับประเทศ

“ความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยจุดประกายให้นิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ เล็งเห็นถึงความสำคัญของการนำเทคโนโลยี 5G บนคลื่นความถี่ 26 Hz หรือ mmWave ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ที่เหมาะสำหรับการนำไปใช้งานในภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากรองรับการรับส่งข้อมูลความเร็วสูง ไปพัฒนาต่อยอดสู่การบริหารจัดการทรัพยากรต่างๆ เพื่อรับกับการแข่งขันในยุคดิจิทัล รวมถึงใช้ในการรับมือกับเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบันนี้”

สำหรับ 5G Use Case ในการบริหารจัดการน้ำ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่แสดงให้เห็นถึงการนำเทคโนโลยี 5G ของ ดีแทค เข้ามาผสมผสานกับการทำงานในภาคอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ เป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมกลับมาเติบโต ต่อเนื่องมายังการร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจไทยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 พลิกฟื้นกลับมาได้ด้วยการนำ 5G ไปใช้งาน และตอกย้ำให้เห็นถึงความเป็นผู้นำของ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในประเทศไทย ที่พร้อมขยายการลงทุนสู่ระดับภูมิภาค