‘โฮมโปร’ จับมือ ‘ไอบีเอ็ม’ ยกเครื่องระบบไอที-แอพพลิเคชัน ดึง AI สร้างประสบการณ์ช็อปปิ้งที่สาขา-ออนไลน์ไร้สะดุด รองรับการขยายธุรกิจในไทย-ต่างประเทศ
บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร (HMPRO) ประกาศก้าวย่างสำคัญ จับมือไอบีเอ็ม (NYSE: IBM) ทรานส์ฟอร์มระบบและโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี รองรับการใช้งานช่องทางออนไลน์และโมบายล์ที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการขยายสาขาทั้งในไทยและต่างประเทศ ลดความซับซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพ พัฒนาต่อยอดระบบ E-Commerce และ Omni Channel พร้อมผงาดผู้นำ Home Solution และ Living Experience ภูมิภาคอาเซียน
ผลจากการเติบโตของธุรกิจออนไลน์ การเพิ่มช่องทางการเข้าถึงให้กับลูกค้าผ่าน HomePro Mobile Application การขยายสาขาทั้งในประเทศที่มีในปัจจุบันทั้งสิ้น 93 สาขา และในต่างประเทศที่ดำเนินการแล้วทั้งสิ้น 8 สาขา ครอบคลุมมาเลเซียและเวียดนาม รวมถึงการขยายธุรกิจผ่านช่องทาง E-marketplace ทำให้โฮมโปรตระหนักถึงความจำเป็นในการยกระดับระบบไอทีหลักที่รองรับแอพพลิเคชันต่างๆ เพื่อให้สามารถสนับสนุนการใช้งานที่เพิ่มขึ้นได้ โดยที่ลูกค้าได้รับประสบการณ์การซื้อสินค้าที่ราบรื่นไม่มีสะดุด
โฮมโปรได้ร่วมกับทีม Client Engineering และ Customer Success Manager (CSM) ของไอบีเอ็มในการออกแบบระบบให้ใช้งานง่ายและลดความซับซ้อน ขณะเดียวกันก็ได้นำเทคโนโลยี Automation เข้าช่วยในการสังเกตการณ์และเฝ้าระวังการทำงานของแอพพลิเคชันต่าง ๆ ด้วย Instana เพื่อให้ทราบจุดบกพร่องแบบ End-To-End และนำไปสู่การแก้ไขได้อย่างทันท่วงที โดยไม่ส่งผลกระทบกับประสบการณ์การใช้บริการของลูกค้าในทุกช่องทาง พร้อมการใช้ Turbonomic เพื่อบริหารจัดการการใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ รองรับการใช้งานในช่วงโปรโมชันต่าง ๆ และลดค่าใช้จ่ายจากการใช้ทรัพยากรไอทีและพลังงานไปกับแอพพลิเคชันที่ไม่ได้มีการใช้งานอยู่
“โฮมโปรให้ความสำคัญสูงสุดกับการต่อยอดพัฒนาระบบทั้งที่ร้านสาขาทั้งในและต่างประเทศ และระบบ E-Commerce และ Omni Channel ซึ่งการลงทุนต่อเนื่องในเทคโนโลยีอย่าง Automation และ AI รวมถึงระบบบริหารจัดการที่รองรับ คือกุญแจสำคัญที่ขับเคลื่อนให้การดำเนินการต่าง ๆ และการบริการลูกค้าของโฮมโปรเป็นไปอย่างเต็มประสิทธิภาพเสมอมา” นางสาวสุดาภา ชะมด ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายเทคโนโลยีสารสนเทศ โฮมโปร กล่าว “การร่วมมือกับไอบีเอ็มในการโมเดิร์นไนซ์ระบบและเพิ่มประสิทธิภาพของโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีในครั้งนี้ คือการวางรากฐานสำคัญให้กับระบบไอที ซึ่งเป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนการขยายธุรกิจและการยกระดับการบริการลูกค้า ทั้งในวันนี้และอนาคต สอดคล้องกับเป้าหมายของเราในการเป็นผู้นำธุรกิจ Home Solution and Living Experience ในประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน”
“จากผลการศึกษาล่าสุด ซีอีโอทั้งในอาเซียนและไทยมองว่าการโมเดิร์นไนซ์ระบบและแอพพลิเคชันไอที (Tech Modernization) เป็นภารกิจที่มีความสำคัญสูงสุด เนื่องจากเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายด้านการเพิ่มผลิตภาพ รวมถึงการสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า” นายสุรฤทธิ์ วูวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มเทคโนโลยี ไอบีเอ็ม ประเทศไทย กล่าว “นับเป็นเวลาสี่ปีติดต่อกันแล้ว ที่ซีอีโอมองว่าเทคโนโลยีเป็นปัจจัยภายนอกที่จะส่งผลกระทบสูงสุดต่อองค์กร และก้าวสำคัญในการวางรากฐานระบบ API รวมถึงการเตรียมความพร้อมของระบบไอทีเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์และเส้นทางประสบการณ์ของลูกค้าที่เปลี่ยนไปของโฮมโปรในครั้งนี้ คือ Best Practice ที่สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันยาวไกลขององค์กรชั้นนำ ในการเตรียมความพร้อมในระยะยาวสู่การเป็นผู้นำตลาดอย่างแท้จริง”
นอกเหนือจากการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีแล้ว การโมเดิร์นไนซ์ระบบด้วย IBM Cloud Pak for Integration บน Red Hat OpenShift รวมถึงการไมเกรทระบบบริหารจัดการ API ซึ่งเป็น core system หลักของแอพพลิเคชันที่รองรับบริการต่าง ๆ ยังช่วยเพิ่มความอไจล์และเร่งสปีดการโรลเอาท์โครงการใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์การบริการลูกค้า รองรับการขยายตัว และช่วยให้โฮมโปรสามารถบริหารจัดการทรัพยากรเมื่อมีการใช้งานเพิ่มขึ้น อาทิ ยอดการสั่งซื้อที่พุ่งสูงในช่วงโปรโมชันพิเศษหรือดับเบิ้ลเดย์ หรือการเพิ่มการใช้งานของระบบอันเป็นผลมากจากการขยายสาขา เป็นต้น