NTT Communications ชี้เทรนด์ไอทีและทิศทางโซลูชั่นปี 2018
เอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่นส์ คอร์ปอร์เรชั่น ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านไอซีทีโซลูชั่นและการสื่อสารระหว่างประเทศ ในกลุ่มบริษัท เอ็นทีที กรุ๊ป (TYO: 9432) สรุปเทรนด์อุตสาหกรรมไอที เพิ่มประสิทธภาพด้วย Digital Transformation ได้เต็มรูปแบบโดยหันมาใช้ระบบเอาท์ซอร์สอย่างมั่นใจมากขึ้น โดยเอ็นทีทีได้จัดโซลูชั่นรองรับระบบโครงสร้างพื้นฐานและระบบการเชื่อมต่อ พร้อมระบบซิเคียวริตี้ดูแลความปลอดภัยแบบครบวงจร เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ทั้งบน Cloud และ Hybrid Cloud นอกจากนี้คนไทยจะได้สัมผัสกับการทำงานของ เทคโนโลยี AI ที่รองรับภาษาไทย ในปี 2018 นี้
นายมานาบุ คาฮาระ ประธานบริษัท เอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในปี 2018 ภาพรวมของธุรกิจ ไทยยังถือเป็นประเทศที่น่าลงทุน หากพิจารณาจาก GDP ต่อหัวของประชากรในกรุงเทพ เมื่อเทียบกับประชากรในอเมริกาเหนือ ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น แต่เมื่อเทียบการเติบโตของประชากรในกรุงเทพกับภาคอื่นๆ จะเห็นว่ายังมีความเหลื่อล้ำอยู่สูงมาก ซึ่งแนวโน้มในอนาคตจะเห็นว่าประเทศไทยเริ่มปรับตัวจากประเทศอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงาน ก้าวสู่การเป็นประเทศที่นำเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาดำเนินธุรกิจแทน ในขณะเดียวกันไทยก็กำลังมุ่งเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ ในปี 2040 นั้นจะเหลือวัยทำงานที่อายุ 15-59 ปีเพียงแค่ 35.1 ล้านคนเท่านั้น ดังนั้นสิ่งที่ต้องเร่งทำในตอนนี้คือการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้ประชากรแต่ละคนสามารถทำงานได้มากขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ออกมาสู่ตลาด
“เอ็นทีที พร้อมผลักดันธุรกิจไทยให้ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการทำ Digital Transformation ซึ่งองค์กรธุรกิจสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นบริการเอาท์ซอร์ส ซึ่งวิธิการเอาท์ซอร์สจะช่วให้ผู้ประกอบการสามารถนำเทคโนโลยีและข้อมูลต่างๆ มาช่วยให้องค์กรขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรวดเร็ว รวมถึงไม่จำเป็นต้องลงทุนด้านไอทีจำนวนเงินมากๆ”
นายมาซาโตชิ ซึโบอิ รองประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการด้านผลิตภัณฑ์และบริการ และศูนย์ข้อมูล เอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในปี 2018 เราเริ่มขยายอีโคซิสเต็มส์ ด้วยการจับมือกับพันธมิตรใหม่ๆ พร้อมกับนำเทคโนโลยีและโซลูชั่นใหม่ๆ โดยแบ่งกลยุทธ์การให้บริการออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ 1. กลุ่มบริการบนระบบเชื่อมต่อ และโซลูชั่น หรือ Overlay Services เช่น Cloud, SD-WAN, UCaaS และ AI เป็นต้น 2. บริการบนโครงสร้างพื้นฐานไอซีที หรือ ICT Infrastructure Services เช่น Data Center, ISP, International Network ฯลฯ
ส่วนโซลูชันทางธุรกิจที่เอ็นทีทีจะนำเสนอ แบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม ได้แก่
- บริการ Data Center และ Disaster Recovery (DR) เพื่อบริหารจัดการลดความเสี่ยงการจัดเก็บข้อมูลสำหรับองค์กรธุรกิจ
- บริการ Hybrid Cloudผสมผสานการทำงานร่วมกันระหว่าง Public Cloud และ Private Cloud เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าสำหรับองค์กร
- บริการ Securityด้วยการบริหารจัดการด้านระบบรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจร เพื่อช่วยให้สามารถปกป้องระบบและข้อมูลสำคัญขององค์กรได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น
- SAPบริการ Cloud สำหรับระบบ ERP และ BI ให้แก่เหล่าธุรกิจ โดยใช้เทคโนโลยีของ SAP เป็นหลัก
- 3D VDIให้บริการ 3D CAD ผ่าน VDI บน Private Cloud ให้ธุรกิจโรงงานและการผลิตสามารถทำการออกแบบได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง และเข้าถึงได้จากทุกที่ทุกเวลา
- บริการ Workstyle Renovationเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยการใช้ระบบสื่อสารของเอ็นทีที
“และในปีหน้าเราจะได้สัมผัสถึงเทคโนโลยี AI ที่เอ็นทีทีจะให้บริการจาก AI พนักงานต้อนรับ หรือ AI Reception ที่รองรับการทำงานทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และญี่ปุ่น เพื่อโต้ตอบกับลูกค้าได้อย่างชาญฉลาดและแม่นยำด้วยการนำ Machine Learning และ Deep Learning มาใช้วิเคราะห์ทั้งข้อความแชทและเสียงสนทนา รวมถึงมีระบบ Face Recognition สำหรับจดจำใบหน้าของลูกค้าได้ด้วย”
ทั้งนี้ เอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่ส์ ได้ขยายศูนย์ข้อมูล หรือ Data Center และบริการคลาวด์เชื่อมธุรกิจใน 6 ประเทศลุ่มน้ำโขงเข้าด้วยกัน ปัจจุบันเริ่มมีลูกค้าจากประเทศเพื่อนบ้านมาใช้บริการ Data Center Bangkok 1 และData Center Bangkok 2 หรือ Nexcenter โดยครอบคลุมทั้งประเทศเมียนมาร์, กัมพูชา และลาว ซึ่งปัจจุบันเอ็นทีทีให้บริการดูแลลูกค้ากว่า 1,000 ราย ให้บริการเครือข่ายด้วยการเชื่อมต่อมากกว่า 5,000 การเชื่อมต่อ และให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ รวมกันมากกว่า 500 แร็ค และเชื่อมต่อระบบให้เกิดภาพของ Hybrid Cloud, Private Cloud และ Public Cloud ได้ตามต้องการ