“Shannon” เครื่องมือช่วยหาช่องโหว่ด้วย AI พร้อมทำงาน 24 ชั่วโมง เอาไปใช้ได้ฟรี!
ในยุคที่ภัยคุกคามไซเบอร์พัฒนาเร็วไม่แพ้เทคโนโลยี การวางระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว การทดสอบเจาะระบบและค้นหาช่องโหว่อย่างสม่ำเสมอจึงกลายเป็นอีกเสาหลักที่องค์กรต้องให้ความสำคัญไม่แพ้การออกแบบสถาปัตยกรรมด้านความปลอดภัยตั้งแต่แรกเริ่ม ล่าสุดมีเครื่องมือทดสอบเจาะระบบด้วยปัญญาประดิษฐ์อย่าง Shannon ที่ถูกออกแบบมาให้ทำหน้าที่เป็นแฮกเกอร์สายขาวอัตโนมัติ ช่วยไล่ล่าช่องโหว่ในซอร์สโค้ดและแอปพลิเคชันได้ต่อเนื่องและแม่นยำกว่าวิธีดั้งเดิม
ด้วย “Shannon” เครื่องมือ AI Pentester แบบ Open-source ตัวใหม่ล่าสุดจากค่าย Keygraph ที่ผู้พัฒนาอ้างว่ามีความสามารถในการเจาะระบบหาช่องโหว่ได้แบบอัตโนมัติ เต็มรูปแบบ และที่สำคัญคือ “แม่นยำ” จนน่าตกใจ โดยสามารถทำคะแนนทดสอบบน XBOW Benchmark ได้สูงถึง 96.15% ซึ่งชนะทั้งระบบอัตโนมัติราคาแพงและมนุษย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปีไปได้อย่างขาดลอย

เหนือกว่าแค่การสแกน คือการ “ลงมือเจาะ” จริง
สิ่งที่ทำให้ Shannon แตกต่างจากเครื่องมือสแกนช่องโหว่แบบเดิมๆ ที่มักจะแค่กวาดตามองโค้ดแล้วแจ้งเตือนแบบหว่านแห คือความสามารถในการคิดและกระทำเหมือนแฮกเกอร์ตัวจริง Shannon ไม่ได้หยุดแค่การอ่าน Source Code เพื่อหาจุดที่น่าสงสัย แต่มันจะทำความเข้าใจโครงสร้างของเว็บแอปพลิเคชัน วาดแผนผังพื้นที่การโจมตี แล้วลงมือ “เจาะ” จริงๆ ผ่านเว็บเบราว์เซอร์ของมันเอง ไม่ว่าจะเป็นการล็อกอิน คลิกปุ่ม หรือกรอกข้อมูลเพื่อทดสอบระบบ โดยใช้พลังจากโมเดล AI ของ Claude มาช่วยวิเคราะห์ตรรกะหน้างาน
ถ้าเจอช่องโหว่ มันจะพยายามโจมตีจนสำเร็จเพื่อยืนยันว่าช่องโหว่นั้นมีอยู่จริงและอันตรายแค่ไหน ทำให้รายงานที่ได้ออกมานั้นปราศจาก False Positive หรือสัญญาณเตือนปลอมที่มักกวนใจนักพัฒนา แถมยังแนบหลักฐาน Proof-of-Concept (PoC) แบบจับวางที่ทีมงานสามารถนำไปทดสอบซ้ำได้ทันที
| ความสามารถ | รายละเอียด |
|---|---|
| ทำงานอัตโนมัติเต็มระบบ (Autonomous Operation) | สั่งเริ่ม Pentest ได้ด้วยคำสั่งเดียว ระบบ AI จัดการให้หมดตั้งแต่การล็อกอินผ่าน 2FA/TOTP ไปจนถึงปิดจบคอร์สด้วยการสรุปรายงาน |
| รายงานคุณภาพระดับมืออาชีพ (Pentester-Grade Reports) | ได้ผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้ พร้อมหลักฐานการเจาะระบบ (PoC) ที่ทำซ้ำได้จริง และที่สำคัญคือ “Zero False Positives” (ไม่มีการแจ้งเตือนมั่ว) |
| เจาะลึกช่องโหว่สำคัญตาม OWASP (Critical OWASP Coverage) | ตรวจจับและยืนยันช่องโหว่ยอดฮิตทั้ง Injection, XSS, SSRF รวมถึงระบบยืนยันตัวตน (Authentication) ที่หละหลวม |
| ทดสอบแบบรู้ลึกถึงโค้ด (Code-Aware Testing) | ไม่ใช่แค่สุ่มเจาะ แต่ AI จะวิเคราะห์ Source Code เพื่อวางแผนโจมตี แล้วลงมือเจาะจริงผ่าน Browser และ CLI |
| ติดอาวุธเครื่องมือระดับเทพ (Integrated Security Tools) | ผสานพลังเครื่องมือมาตรฐานวงการอย่าง Nmap, Subfinder, WhatWeb และ Schemathesis เพื่อวิเคราะห์สภาพแวดล้อมเป้าหมายอย่างละเอียด |
| ประมวลผลแบบขนาน (Parallel Processing) | ทำงานไวด้วยการวิเคราะห์และเจาะช่องโหว่หลายประเภทไปพร้อมๆ กัน ไม่ต้องรอคิวทีละอย่าง |
| พิสูจน์ด้วยการโจมตีจริง (Real Exploit Validation) | ตัดปัญหา “ทฤษฎีจ๋า” ด้วยการลงมือโจมตีจริงๆ เพื่อยืนยันว่าช่องโหว่นั้นอันตรายจริงหรือไม่ |
| สถาปัตยกรรม 4 ขั้นตอน (Multi-Phase Architecture) | ทำงานเป็นระบบชัดเจน: 1. ค้นหา (Recon) → 2. วิเคราะห์ช่องโหว่ → 3. ลงมือเจาะ (Exploit) → 4. สรุปผล |
เปลี่ยน Pentest ปีละครั้ง ให้เป็น “ทุกครั้ง” ที่ Deploy
การมาของ Shannon กำลังจะเปลี่ยนนิยามของการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์จากการตั้งรับแบบรายปี ให้กลายเป็นการตรวจสอบแบบต่อเนื่องหรือ Continuous Security ลองจินตนาการว่าคุณมีวิศวกรความปลอดภัยระดับหัวกะทินั่งเฝ้าหน้าจอ คอยไล่เจาะระบบทุกครั้งที่มีการอัปเดตโค้ดใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Branch ไหน หรือ Commit ใด โดยไม่มีวันเหนื่อยหรือขอลาพักร้อน
ด้วยความเป็นระบบอัตโนมัติที่ทำงานร่วมกับ Docker และ CI/CD Pipeline ได้อย่างราบรื่น ทำให้องค์กรสามารถอุดรอยรั่วได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่โค้ดจะถูกปล่อยออกไปสู่โลกภายนอก ซึ่งเป็นการปิดช่องว่างที่แฮกเกอร์ตัวจริงมักใช้โจมตีในช่วงรอยต่อของการอัปเดตซอฟต์แวร์ นับเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ทีม Developer และ Security สามารถเดินหน้าไปด้วยกันได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องมาชะลอความเร็วในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อีกต่อไป
ค่าใช้จ่าย: โหลดฟรี แต่มีค่า “AI” ที่ต้องจ่ายตามจริง
แม้ว่า Shannon จะเปิดให้ดาวน์โหลดซอร์สโค้ดมาติดตั้งและใช้งานได้ฟรีในรูปแบบ Open Source ผ่าน GitHub แต่ผู้ใช้งานจำเป็นต้องเตรียมงบประมาณสำหรับ “ค่ามันสมอง” ของ AI แยกต่างหาก เนื่องจากระบบเบื้องหลังต้องเชื่อมต่อกับ Claude API ของ Anthropic เพื่อใช้ประมวลผลการเจาะระบบที่ซับซ้อน
ข้อมูลระบุว่าการทดสอบใช้งานจริงพบว่าการรัน Pentest แบบเต็มรูปแบบ (End-to-End) หนึ่งครั้ง จะมีต้นทุนค่า API อยู่ที่ประมาณ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1,700 บาท ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ประหยัดมากเมื่อเทียบกับการจ้างทีมผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่อาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึงหลักแสนบาทต่อครั้ง ทำให้ Shannon กลายเป็นทางเลือกที่ “คุ้มค่า” สำหรับองค์กรที่ต้องการตรวจสอบความปลอดภัยถี่ๆ หรือทุกครั้งที่มีการอัปเดตโค้ดใหม่

