October 9, 2025

เมื่อคู่ค้าอาจกลายเป็นช่องโหว่ – ภัยไซเบอร์จากจุดอ่อนภายนอกที่องค์กรต้องรีบรับมือ

เมื่อระบบ IT ขององค์กรไม่ได้จำกัดอยู่เพียงภายในอีกต่อไป แต่เชื่อมโยงกับ ผู้ให้บริการภายนอก และ คู่ค้าเทคโนโลยี ตั้งแต่ผู้ให้บริการคลาวด์ ซอฟต์แวร์แบบ SaaS ไปจนถึงอุปกรณ์ IoT ข้อเท็จจริงที่น่าตกใจคือ แม้แต่เหตุการณ์โจมตีทางไซเบอร์ที่เกิดกับองค์กรขนาดใหญ่และมีมาตรการความปลอดภัยเข้มแข็ง ก็พบว่า ส่วนหนึ่งมาจากช่องโหว่ในระบบของผู้ให้บริการภายนอกเหล่านี้

บทความนี้จะชี้ให้เห็นว่า การเจาะระบบผ่านช่องทางของพันธมิตรภายนอก หรือ Third-Party Breaches กำลังกลายเป็น สัญญาณเตือนสำคัญของยุคไซเบอร์ ที่องค์กรต้องรีบปรับกลยุทธ์ด้านความปลอดภัยข้ามขอบเขต และเตรียมรับมืออย่างรัดกุม

ภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่ในเครือข่ายของพันธมิตร

ข้อมูลจากรายงาน Verizon Data Breach Investigations Report 2025 (DBIR) ระบุว่า “กว่า 1 ใน 3 ของเหตุการณ์การรั่วไหลของข้อมูล เกิดจากช่องโหว่ของผู้ให้บริการภายนอก” ที่เชื่อมต่ออยู่กับระบบขององค์กร ไม่ว่าจะเป็น API, โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์, หรือระบบจัดการข้อมูล

ช่องโหว่เหล่านี้มักมาจาก

  • การใช้ VPN หรือ Edge Devices ที่ไม่ได้อัปเดต
  • การรั่วของข้อมูลรับรอง (credentials) บนแพลตฟอร์มอย่าง GitHub
  • อุปกรณ์ IoT ที่เปิดการเชื่อมต่ออยู่ตลอดเวลา

ผลลัพธ์คือ ผู้โจมตีสามารถใช้ระบบของคู่ค้าเป็น “ทางลัด” เข้าสู่เครือข่ายหลักขององค์กร ได้โดยตรง และช่องโหว่เพียงจุดเดียวอาจลุกลามเป็นเหตุการณ์ไซเบอร์ระดับห่วงโซ่ (Supply Chain Attack) ได้อย่างรวดเร็ว

ไฟร์วอลล์ไม่พออีกต่อไป

ในอดีต “ไฟร์วอลล์” เคยเป็นด่านแรกของการป้องกัน แต่โลกปัจจุบันที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกันตลอดเวลา ทำให้แนวคิด “ขอบเขตเครือข่าย” (Network Perimeter) แทบไม่เหลืออยู่

ระบบ SaaS, IoT, และการบริหารจากระยะไกล ทำให้จุดเชื่อมต่อเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ องค์กรจึงไม่สามารถพึ่งพาการป้องกันเพียงรอบตัวเองได้อีกต่อไป แต่ต้อง

แนวทางลดความเสี่ยงจาก Third-Party Breaches

เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ บทความแนะนำแนวทางที่องค์กรควรนำไปใช้ทันที ได้แก่

  1. บริหารช่องโหว่และจำกัดการเข้าถึงเครือข่าย (Vulnerability & Access Management)
    • ใช้ระบบบริหารช่องโหว่ (VMS)
    • แยกส่วนเครือข่าย (Network Segmentation)
    • จำกัดอุปกรณ์ Edge ที่ไม่จำเป็น
  2. ประเมินผู้ให้บริการภายนอกอย่างสม่ำเสมอ
    • ใช้แบบสอบถามด้านความปลอดภัย (Security Questionnaire)
    • ตรวจสอบมาตรฐาน เช่น ISO 27001 หรือ SOC 2
    • ใช้ระบบ Third-Party Risk Management (TPRM)
  3. ยกระดับการยืนยันตัวและควบคุมสิทธิ์ (Authentication & Access Control)
    • กำหนดรหัสผ่านซับซ้อน
    • บังคับใช้ Multi-Factor Authentication (MFA)
    • กำหนดอายุ API Key และ Token

จาก “ความรับผิดชอบ” สู่ “ความร่วมมือและโปร่งใส”

องค์กรจำนวนมากมักโยนความรับผิดชอบให้พันธมิตร แต่ในยุคนี้ “ความปลอดภัยต้องเป็นความร่วมมือ”
ผู้ให้บริการและคู่ค้าควรเปิดเผยสถานะความปลอดภัยของตนอย่างโปร่งใส เช่น

  • รายงานช่องโหว่ที่พบ
  • ผลการทดสอบเจาะระบบ (Pen-Testing)
  • นโยบายจัดการข้อมูลและการเข้ารหัส

ความโปร่งใสนี้ไม่เพียงเพิ่มความน่าเชื่อถือ แต่ยังช่วยให้เกิด วัฒนธรรมแห่งความปลอดภัยร่วมกันในระบบนิเวศดิจิทัล ซึ่งเป็นแนวทางเดียวที่ยั่งยืนในยุคที่ภัยไซเบอร์แพร่กระจายข้ามองค์กรได้ในพริบตา

ที่มา