HexStrike‑AI: จากเครื่องมือทดสอบความปลอดภัย สู่อาวุธ AI ของแฮกเกอร์ เจาะช่องโหว่ในไม่กี่นาที

วงการไซเบอร์ซีเคียวริตี้กำลังเผชิญจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ เมื่อ HexStrike-AI ซึ่งเดิมถูกออกแบบให้เป็นแพลตฟอร์มโอเพนซอร์สสำหรับทีม Red-Team และนักทดสอบความปลอดภัย กลับถูกกลุ่มแฮกเกอร์นำไปใช้โจมตีจริงอย่างรวดเร็ว เครื่องมือนี้ผนวกความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับชุดเครื่องมือเจาะระบบกว่า 150 ตัว ทำให้การสแกนช่องโหว่และการโจมตีเครือข่ายทำได้ อัตโนมัติและรวดเร็วระดับนาที จากเดิมที่ต้องใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์
AI เปลี่ยนเกมสู่การโจมตีอัตโนมัติเต็มรูปแบบ
HexStrike-AI ทำงานบนสถาปัตยกรรม MCP (Multi-Agent Control Protocol) ซึ่งเป็นศูนย์กลางสั่งการให้ LLMs (เช่น GPT, Claude, Copilot) ทำงานร่วมกับเครื่องมือความปลอดภัยจริง เช่น Nmap, Metasploit, Burp, John the Ripper เพียงแค่ผู้ใช้สั่งงานด้วยภาษาธรรมชาติ ระบบจะวิเคราะห์และรันขั้นตอนการเจาะระบบโดยอัตโนมัติ
นักวิจัยพบว่าเครื่องมือนี้ช่วยลดเวลาโจมตีได้มหาศาล เช่น
- การสแกนซับโดเมน: จาก 24 ชั่วโมง เหลือเพียง 5–10 นาที
- การพัฒนาโค้ดเจาะระบบ (Exploit): จาก 2–10 วัน เหลือเพียง 30–120 นาที
HexStrike-AI ยังมีระบบ retry และ recovery ที่ช่วยให้ AI ทดลองหลายแนวทางจนเจาะระบบสำเร็จ เพิ่มโอกาสการโจมตีอย่างมีนัยสำคัญ
ช่องโหว่ Citrix: เหยื่อรายแรกในสนามจริง
เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลัง Citrix เปิดเผยการแก้ไขช่องโหว่ Zero-Day ใน NetScaler ADC/Gateway ได้แก่ CVE-2025-7775, CVE-2025-7776 และ CVE-2025-8424 ซึ่งเปิดโอกาสให้แฮกเกอร์รันโค้ดระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน สร้างความเสี่ยงร้ายแรงต่อองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลก กลุ่มแฮกเกอร์ก็ใช้ HexStrike-AI โจมตีระบบเหล่านี้ในจริงทันที โดยช่องโหว่ CVE-2025-7775
นักวิจัยจาก Check Point เตือนว่า “ช่วงเวลาปลอดภัยที่องค์กรเคยมีหลายวันหลังการเปิดเผยช่องโหว่ ตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่นาที”
Muhammad Osama ผู้สร้าง HexStrike-AI ยืนยันว่าเครื่องมือนี้ตั้งใจออกแบบเพื่อช่วยนักวิจัยด้านความปลอดภัยและทีมป้องกันระบบให้มีขีดความสามารถทัดเทียมกับกลุ่มแฮกเกอร์ที่ใช้ AI เช่นกัน โดยเขาเตรียมออกเวอร์ชัน 7.0 ที่จะเพิ่มเอเจนต์ AI มากกว่า 250 ตัว รองรับ Docker, ระบบตั้งค่าอัตโนมัติ และแดชบอร์ดติดตามผลแบบเรียลไทม์