December 16, 2025

“Shannon” เครื่องมือช่วยหาช่องโหว่ด้วย AI พร้อมทำงาน 24 ชั่วโมง เอาไปใช้ได้ฟรี!

ในยุคที่ภัยคุกคามไซเบอร์พัฒนาเร็วไม่แพ้เทคโนโลยี การวางระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว การทดสอบเจาะระบบและค้นหาช่องโหว่อย่างสม่ำเสมอจึงกลายเป็นอีกเสาหลักที่องค์กรต้องให้ความสำคัญไม่แพ้การออกแบบสถาปัตยกรรมด้านความปลอดภัยตั้งแต่แรกเริ่ม ล่าสุดมีเครื่องมือทดสอบเจาะระบบด้วยปัญญาประดิษฐ์อย่าง Shannon ที่ถูกออกแบบมาให้ทำหน้าที่เป็นแฮกเกอร์สายขาวอัตโนมัติ ช่วยไล่ล่าช่องโหว่ในซอร์สโค้ดและแอปพลิเคชันได้ต่อเนื่องและแม่นยำกว่าวิธีดั้งเดิม

ด้วย “Shannon” เครื่องมือ AI Pentester แบบ Open-source ตัวใหม่ล่าสุดจากค่าย Keygraph ที่ผู้พัฒนาอ้างว่ามีความสามารถในการเจาะระบบหาช่องโหว่ได้แบบอัตโนมัติ เต็มรูปแบบ และที่สำคัญคือ “แม่นยำ” จนน่าตกใจ โดยสามารถทำคะแนนทดสอบบน XBOW Benchmark ได้สูงถึง 96.15% ซึ่งชนะทั้งระบบอัตโนมัติราคาแพงและมนุษย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปีไปได้อย่างขาดลอย​

เหนือกว่าแค่การสแกน คือการ “ลงมือเจาะ” จริง

สิ่งที่ทำให้ Shannon แตกต่างจากเครื่องมือสแกนช่องโหว่แบบเดิมๆ ที่มักจะแค่กวาดตามองโค้ดแล้วแจ้งเตือนแบบหว่านแห คือความสามารถในการคิดและกระทำเหมือนแฮกเกอร์ตัวจริง Shannon ไม่ได้หยุดแค่การอ่าน Source Code เพื่อหาจุดที่น่าสงสัย แต่มันจะทำความเข้าใจโครงสร้างของเว็บแอปพลิเคชัน วาดแผนผังพื้นที่การโจมตี แล้วลงมือ “เจาะ” จริงๆ ผ่านเว็บเบราว์เซอร์ของมันเอง ไม่ว่าจะเป็นการล็อกอิน คลิกปุ่ม หรือกรอกข้อมูลเพื่อทดสอบระบบ โดยใช้พลังจากโมเดล AI ของ Claude มาช่วยวิเคราะห์ตรรกะหน้างาน

ถ้าเจอช่องโหว่ มันจะพยายามโจมตีจนสำเร็จเพื่อยืนยันว่าช่องโหว่นั้นมีอยู่จริงและอันตรายแค่ไหน ทำให้รายงานที่ได้ออกมานั้นปราศจาก False Positive หรือสัญญาณเตือนปลอมที่มักกวนใจนักพัฒนา แถมยังแนบหลักฐาน Proof-of-Concept (PoC) แบบจับวางที่ทีมงานสามารถนำไปทดสอบซ้ำได้ทันที

ความสามารถ รายละเอียด
ทำงานอัตโนมัติเต็มระบบ (Autonomous Operation)สั่งเริ่ม Pentest ได้ด้วยคำสั่งเดียว ระบบ AI จัดการให้หมดตั้งแต่การล็อกอินผ่าน 2FA/TOTP ไปจนถึงปิดจบคอร์สด้วยการสรุปรายงาน
รายงานคุณภาพระดับมืออาชีพ (Pentester-Grade Reports)ได้ผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้ พร้อมหลักฐานการเจาะระบบ (PoC) ที่ทำซ้ำได้จริง และที่สำคัญคือ “Zero False Positives” (ไม่มีการแจ้งเตือนมั่ว) ​
เจาะลึกช่องโหว่สำคัญตาม OWASP (Critical OWASP Coverage)ตรวจจับและยืนยันช่องโหว่ยอดฮิตทั้ง Injection, XSS, SSRF รวมถึงระบบยืนยันตัวตน (Authentication) ที่หละหลวม ​
ทดสอบแบบรู้ลึกถึงโค้ด (Code-Aware Testing)ไม่ใช่แค่สุ่มเจาะ แต่ AI จะวิเคราะห์ Source Code เพื่อวางแผนโจมตี แล้วลงมือเจาะจริงผ่าน Browser และ CLI
ติดอาวุธเครื่องมือระดับเทพ (Integrated Security Tools)ผสานพลังเครื่องมือมาตรฐานวงการอย่าง Nmap, Subfinder, WhatWeb และ Schemathesis เพื่อวิเคราะห์สภาพแวดล้อมเป้าหมายอย่างละเอียด
ประมวลผลแบบขนาน (Parallel Processing)ทำงานไวด้วยการวิเคราะห์และเจาะช่องโหว่หลายประเภทไปพร้อมๆ กัน ไม่ต้องรอคิวทีละอย่าง ​
พิสูจน์ด้วยการโจมตีจริง (Real Exploit Validation)ตัดปัญหา “ทฤษฎีจ๋า” ด้วยการลงมือโจมตีจริงๆ เพื่อยืนยันว่าช่องโหว่นั้นอันตรายจริงหรือไม่ ​
สถาปัตยกรรม 4 ขั้นตอน (Multi-Phase Architecture)ทำงานเป็นระบบชัดเจน: 1. ค้นหา (Recon) → 2. วิเคราะห์ช่องโหว่ → 3. ลงมือเจาะ (Exploit) → 4. สรุปผล ​

เปลี่ยน Pentest ปีละครั้ง ให้เป็น “ทุกครั้ง” ที่ Deploy

การมาของ Shannon กำลังจะเปลี่ยนนิยามของการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์จากการตั้งรับแบบรายปี ให้กลายเป็นการตรวจสอบแบบต่อเนื่องหรือ Continuous Security ลองจินตนาการว่าคุณมีวิศวกรความปลอดภัยระดับหัวกะทินั่งเฝ้าหน้าจอ คอยไล่เจาะระบบทุกครั้งที่มีการอัปเดตโค้ดใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Branch ไหน หรือ Commit ใด โดยไม่มีวันเหนื่อยหรือขอลาพักร้อน

ด้วยความเป็นระบบอัตโนมัติที่ทำงานร่วมกับ Docker และ CI/CD Pipeline ได้อย่างราบรื่น ทำให้องค์กรสามารถอุดรอยรั่วได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่โค้ดจะถูกปล่อยออกไปสู่โลกภายนอก ซึ่งเป็นการปิดช่องว่างที่แฮกเกอร์ตัวจริงมักใช้โจมตีในช่วงรอยต่อของการอัปเดตซอฟต์แวร์ นับเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ทีม Developer และ Security สามารถเดินหน้าไปด้วยกันได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องมาชะลอความเร็วในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อีกต่อไป

ค่าใช้จ่าย: โหลดฟรี แต่มีค่า “AI” ที่ต้องจ่ายตามจริง

แม้ว่า Shannon จะเปิดให้ดาวน์โหลดซอร์สโค้ดมาติดตั้งและใช้งานได้ฟรีในรูปแบบ Open Source ผ่าน GitHub แต่ผู้ใช้งานจำเป็นต้องเตรียมงบประมาณสำหรับ “ค่ามันสมอง” ของ AI แยกต่างหาก เนื่องจากระบบเบื้องหลังต้องเชื่อมต่อกับ Claude API ของ Anthropic เพื่อใช้ประมวลผลการเจาะระบบที่ซับซ้อน

ข้อมูลระบุว่าการทดสอบใช้งานจริงพบว่าการรัน Pentest แบบเต็มรูปแบบ (End-to-End) หนึ่งครั้ง จะมีต้นทุนค่า API อยู่ที่ประมาณ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1,700 บาท ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ประหยัดมากเมื่อเทียบกับการจ้างทีมผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่อาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึงหลักแสนบาทต่อครั้ง ทำให้ Shannon กลายเป็นทางเลือกที่ “คุ้มค่า” สำหรับองค์กรที่ต้องการตรวจสอบความปลอดภัยถี่ๆ หรือทุกครั้งที่มีการอัปเดตโค้ดใหม่

ที่มา