เจาะตลาดแรงงานสาย Dark Web : เรียนรู้เพื่อรับมือภัยไซเบอร์ยุคใหม่
จากข้อมูลการวิเคราะห์ล่าสุดพบว่าตลาดแรงงานบนดาร์กเว็บกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการโพสต์ประกาศรับสมัครงานและโปรไฟล์ผู้หางานที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมไซเบอร์เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในปี 2024 เมื่อเทียบกับปี 2023 และยังคงอยู่ในระดับสูงตลอดปี 2025
การเข้าใจพฤติกรรมและรูปแบบการทำงานของอาชญากรไซเบอร์จะช่วยให้องค์กรสามารถเตรียมความพร้อมและป้องกันภัยคุกคามได้ทันท่วงที
Dark Web คืออะไรและทำงานอย่างไร
Dark Web คือชั้นล่างสุดของอินเทอร์เน็ตที่ถูกซ่อนไว้โดยเจตนา ไม่สามารถเข้าถึงได้ผ่านเสิร์ชเอนจินทั่วไป และต้องใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะ เช่น Tor ในการเข้าใช้งาน ภายในพื้นที่นี้ ผู้ใช้งานมักปกปิดตัวตนและซ่อนที่อยู่ IP ทำให้กลายเป็นแหล่งที่เหมาะสำหรับกิจกรรมผิดกฎหมายต่างๆ เช่น การซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล อาวุธ ยาเสพติด หรือแม้แต่การเผยแพร่ข้อมูลจากการโจมตีแบบ Ransomware
ในโลกของ Dark Web มีเว็บไซต์จำนวนมากที่ไม่เปิดเผยตัวตน โดยรูปแบบที่แพร่หลายคือ Marketplace หรือ “ตลาดมืด” ที่เปิดให้ผู้ใช้งานซื้อขายสินค้าและบริการผิดกฎหมาย การใช้สกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin ได้ส่งเสริมให้ธุรกรรมบน Dark Web มีความเป็นส่วนตัวและไม่สามารถติดตามตัวตนได้ง่าย
วัยรุ่นและผู้ถูกเลิกจ้างแห่เข้าสู่ตลาดใต้ดิน
จากการวิเคราะห์โพสต์งานกว่า 2,225 รายการบนฟอรัมใต้ดินระหว่างเดือนมกราคม 2023 ถึงมิถุนายน 2025 พบว่าโปรไฟล์ผู้หางานเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน โดยอายุเฉลี่ยของผู้สมัครงานอยู่ที่เพียง 24 ปี มีวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้ามาด้วยความหวังจะหาเงินได้เร็ว หลายคนมีประสบการณ์กับการหลอกลวงและการทำงานใต้ดินมาก่อนแล้ว และมองว่าการทำงานในโลกอาชญากรรมไซเบอร์เป็นทางเลือกอาชีพระยะยาวมากกว่าแค่งานพิเศษชั่วคราว
ข้อมูลในปี 2025 แสดงให้เห็นว่าจำนวนเรซูเม่มากกว่าตำแหน่งงานว่างในอัตราส่วน 55% ต่อ 45% ซึ่งเกิดจากการเลิกจ้างงานในวงการเทคโนโลยีทั่วโลก และกระแสคนหนุ่มสาวที่เข้ามาหางานในตลาดใต้ดินเพิ่มขึ้น นักวิจัยคาดการณ์ว่าอายุเฉลี่ยและคุณสมบัติทางเทคนิคของผู้สมัครงานบนดาร์กเว็บจะสูงขึ้นอีก เนื่องจากมืออาชีพที่ถูกเลิกจ้างจากงานถูกกฎหมายกำลังมองหาโอกาสใหม่ในตลาดใต้ดิน

ทักษะและตำแหน่งงานที่อาชญากรไซเบอร์ต้องการ
การทำความเข้าใจตำแหน่งงานที่เป็นที่ต้องการในตลาดใต้ดินจะช่วยให้องค์กรสามารถระบุช่องโหว่และเตรียมป้องกันได้อย่างตรงจุด ตำแหน่งงานด้าน IT ที่นายจ้างบนดาร์กเว็บต้องการมากที่สุด ได้แก่ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ (17% ของตำแหน่งว่าง) ที่สร้างเครื่องมือโจมตีระบบ นักทดสอบเจาะระบบ (12%) ที่ค้นหาช่องโหว่ในเครือข่าย นักฟอกเงิน (11%) ที่ฟอกเงินผิดกฎหมายผ่านธุรกรรมหลายชั้น นักขโมยข้อมูลบัตรเครดิต (6%) และนักดึงดูดเหยื่อ (5%) ที่นำเหยื่อไปยังเว็บฟิชชิ่งหรือไฟล์ติดมัลแวร์
นอกจากนี้ยังมีความต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านคลาวด์ IoT และผู้ที่มีทักษะการหลอกลวงด้าน Social Engineering โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ภาษาอังกฤษได้คล่อง ในปี 2025 ความต้องการผู้พูดภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า ขณะที่ความรู้ด้าน AI และ Deepfake กลายเป็นทักษะที่เป็นที่ต้องการในปี 2024-2025

ค่าตอบแทนสะท้อนมูลค่าทักษะ
ความคาดหวังด้านเงินเดือนแตกต่างกันอย่างชัดเจนตามความเชี่ยวชาญ โดย Reverse Engineer ได้รับค่าตอบแทนสูงที่สุดเฉลี่ยเดือนละกว่า 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาคือนักทดสอบเจาะระบบที่ได้เฉลี่ยเดือนละ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ และนักพัฒนาที่ได้เฉลี่ยเดือนละ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงมูลค่าของทักษะที่หายากและสร้างผลกระทบสูงภายในระบบนิเวศใต้ดิน
สำหรับผู้ที่ทำงานหลอกลวงและฉ้อโกงมักได้รับเงินเป็นเปอร์เซ็นต์จากรายได้ของทีม โดยนักฟอกเงินได้เฉลี่ย 20% ในขณะที่นักขโมยข้อมูลบัตรเครดิตและนักดึงดูดเหยื่อได้ประมาณ 30% และ 50% ของรายได้ทั้งหมดตามลำดับ
บทเรียนสำคัญสำหรับการรับมือ
Dark Web มีประโยชน์สำหรับหน่วยงานรัฐบาลในการติดตามกิจกรรมออนไลน์โดยไม่เปิดเผยตัวตน และยังเป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสำหรับกลุ่มสิทธิพลเมือง นักข่าว และผู้เปิดโปงการทุจริตเพื่อความปลอดภัย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า Dark Web ยังเป็นช่องทางหลักสำหรับอาชญากรไซเบอร์ในการสื่อสารระหว่างกัน รวมถึงการซื้อขายข้อมูลที่ถูกขโมยและการเผยแพร่ข้อมูลลับขององค์กร
องค์กรควรใช้เครื่องมือ Dark Web Monitoring เพื่อสแกนและตรวจสอบว่าข้อมูลสำคัญของตัวเองรั่วไหลและถูกซื้อขายอยู่หรือไม่ โดยเครื่องมือเหล่านี้จะทำการสำรวจเว็บไซต์ ฟอรัม และตลาดมืดที่รู้จักกันบน Dark Web โดยใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะที่สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลโดยไม่เปิดเผยตัวตนของผู้ใช้งาน นอกจากนี้ องค์กรสามารถว่าจ้างแฮกเกอร์หมวกขาว (White Hat Hacker) เพื่อเข้าไปใน Dark Web และค้นหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร
เครื่องมือ Dark Web Monitoring ที่องค์กรควรรู้จัก
องค์กรที่ต้องการเฝ้าระวังและป้องกันข้อมูลรั่วไหลบน Dark Web ควรพิจารณาใช้เครื่องมือ Dark Web Monitoring ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถช่วยตรวจสอบและแจ้งเตือนเมื่อพบข้อมูลสำคัญขององค์กรถูกเผยแพร่ในโลกใต้ดิน โดยข้อมูลจาก Sangfor ผู้ให้บริการโซลูชันความปลอดภัยไซเบอร์ ได้แนะนำเครื่องมือตรวจสอบ Dark Web ที่เป็นที่นิยมและมีประสิทธิภาพสูง ดังนี้
IntSights Threat Intelligence Platform เป็นแพลตฟอร์มข่าวกรองภัยคุกคามที่ใช้การตรวจสอบเพื่อขุดค้นข้อมูลบน Dark Web ที่เกี่ยวกับกลยุทธ์ เทคนิค และขั้นตอนของแฮกเกอร์ และรูปแบบมัลแวร์ จึงช่วยให้ธุรกิจทันต่อวิธีการโจมตีล่าสุดและปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยได้ทันท่วงที นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบการสนทนาที่กำลังดำเนินอยู่บน Dark Web เพื่อให้สามารถตอบสนองเชิงรุกต่อภัยคุกคามได้
Mandiant Digital Threat Monitoring เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้มองเห็นภัยคุกคามและข้อมูลส่วนบุคคลที่รั่วไหลได้อย่างครอบคลุม ผ่านฟังก์ชันของ Machine Learning แพลตฟอร์มยังตรวจสอบความปลอดภัยของบริษัทพันธมิตรที่เชื่อถือได้ เพื่อรักษาระบบนิเวศที่ปลอดภัยรอบด้าน
Brandefense เป็นโซลูชัน DRPS (Digital Risk Protection Solution) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่มีความสามารถในการสแกนทั้ง Surface Web และ Dark Web เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการโจมตีหรือการบุกรุกข้อมูล
LastPass มอบการป้องกันให้ทั้งธุรกิจและบุคลากรในองค์กรจากการบุกรุกข้อมูล แพลตฟอร์มใช้โปรแกรมการฝึกอบรมการรับรู้ความปลอดภัยที่ปรับแต่ง การจำลอง Phishing ที่กำหนดเอง และการตรวจสอบ Dark Web อย่างต่อเนื่อง
IBM X-Force Exchange IBM X-Force Exchange เป็นแพลตฟอร์มการแบ่งปันข้อมูลและชุมชนที่เปลี่ยนข่าวกรองภัยคุกคามให้เป็นฐานข้อมูลแบบโต้ตอบและค้นหาได้ เครื่องมือส่วนใหญ่ฟรีและช่วยให้คุณปรับแต่งการค้นหาตามความต้องการของคุณ
usecure คุณสามารถวัดตำแหน่งความปลอดภัยทางไซเบอร์ของพนักงานของคุณและปรับปรุงและเพิ่มการปกป้องตามความจำเป็น แพลตฟอร์มใช้โปรแกรมการฝึกอบรมการรับรู้ความปลอดภัยที่ปรับแต่ง การจำลอง Phishing (ฟิชชิง) ที่กำหนดเอง การตรวจสอบ Dark Web อย่างต่อเนื่อง กระบวนการจัดการนโยบายที่ง่ายขึ้น และการให้คะแนนความเสี่ยงของมนุษย์อย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยหลักของคุณ
Flashpoint Physical Security Intelligence (PSI)โซลูชันข่าวกรองแหล่งข้อมูลเปิดที่รวบรวมข้อมูลจากแหล่งออนไลน์มากมาย ฟังก์ชันที่ใช้งานง่ายช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหา กรอง ตรวจสอบ แสดงภาพ และวิเคราะห์ข้อมูลบนแดชบอร์ดอย่างง่าย นอกจากนี้ยังส่งการแจ้งเตือนเมื่อเกณฑ์การค้นหาถูกกระตุ้นและใช้การระบุตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ การตรวจจับภาษา และการตรวจจับภัยคุกคามเพื่อให้บริบทที่มีค่าแก่ข้อมูลที่ค้นพบ
เครื่องมือเหล่านี้ทำงานผ่านกระบวนการที่ครอบคลุม ตั้งแต่การสแกน Dark Web โดยใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะที่สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลโดยไม่เปิดเผยตัวตน การวิเคราะห์และระบุข้อมูลที่รั่วไหลโดยเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลองค์กร การแจ้งเตือนภัยคุกคามเมื่อพบข้อมูลที่อาจถูกขโมย การจัดทำรายงานเชิงลึกพร้อมคำแนะนำในการตอบสนอง และการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องแบบ Real-time เพื่อเฝ้าระวังข้อมูลใหม่ที่อาจรั่วไหลเพิ่มเติม
Sangfor เน้นย้ำว่า Dark Web Monitoring ถือเป็นแนวทางปฏิบัติที่สำคัญสำหรับการปกป้องความปลอดภัยบนโลกออนไลน์อย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับราคาของการละเมิดข้อมูลสำหรับบริษัทส่วนใหญ่ เครื่องมือตรวจสอบ Dark Web เป็นการลงทุนที่เหมาะสมเพื่อรับรองความปลอดภัยของข้อมูลในระยะยาว
การทำความเข้าใจโครงสร้างตลาดแรงงานใต้ดินและการพัฒนาของอาชญากรรมไซเบอร์จะช่วยให้องค์กรสามารถเตรียมความพร้อม เสริมสร้างมาตรการรักษาความปลอดภัย และตอบสนองต่อภัยคุกคามได้อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะในยุคที่อาชญากรไซเบอร์มีความเชี่ยวชาญและเป็นมืออาชีพมากขึ้นเรื่อยๆ

