November 19, 2025

เมื่อ Cloudflare ล่ม โลกออนไลน์ชะงักทันที ทำไมบริษัทนี้ถึงมีอิทธิพลมหาศาล

เมื่อค่ำคืนของวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 ตามเวลาในประเทศไทย ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกพบว่าเว็บไซต์และแอปพลิเคชันยักษ์ใหญ่หลายรายการล่มพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็น X (Twitter), ChatGPT, YouTube, Spotify และอีกนับสิบเว็บไซต์ ต้นตอของปัญหาคือ Cloudflare บริษัทโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกขณะนี้

ว่าแต่ Cloudflare คือใคร และทำไมการล่มครั้งเดียวถึงกระทบทั้งโลก!?

Cloudflare คืออะไร

Cloudflare เป็นบริษัทให้บริการ Content Delivery Network (CDN) และระบบรักษาความปลอดภัยอินเทอร์เน็ตที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยทำหน้าที่เป็น “เกราะป้องกัน” และ “เครื่องเร่งความเร็ว” ให้กับเว็บไซต์นับล้านทั่วโลก โดยมีดาต้าเซ็นเตอร์กว่า 300 แห่งกระจายไปทั่วทุกทวีปเป็นขุมพลัง

ประมวลผลคำขอ HTTP มากกว่า 40 ล้านครั้งต่อวินาที ระบบของ Cloudflare ทำงานโดยกระจายเนื้อหาเว็บไซต์ไปเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลก ทำให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้เร็วขึ้นและลดภาระเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง

ส่วนแบ่งตลาดที่ครอบงำโลก

ตัวเลขจาก W3Techs เปิดเผยว่า 80.7% ของเว็บไซต์ทั่วโลกที่ใช้ CDN เลือก Cloudflare เป็นผู้ให้บริการ ปัจจุบันมีเว็บไซต์มากกว่า 25 ล้านเว็บที่ใช้บริการนี้ และเติบโตเพิ่มขึ้นหลายพันเว็บต่อวัน ส่วนแบ่งตลาดของ Cloudflare อยู่ที่ 39.24% ทิ้งห่างคู่แข่งอย่าง Amazon CloudFront (24.22%) และ Facebook CDN (13.79%) อย่างชัดเจน บริษัทให้บริการเว็บไซต์ชั้นนำประมาณ 20% ของ 1,000 เว็บไซต์อันดับต้นของโลก

บริการหลักที่ทำให้ขาดไม่ได้

Cloudflare ไม่ได้แค่เร่งความเร็วเว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังมีบริการป้องกันการโจมตี DDoS ที่ดูดซับและกรองทราฟฟิกที่เป็นอันตราย มี Web Application Firewall (WAF) ป้องกันภัยคุกคามเช่น SQL Injection และ Cross-site Scripting พร้อมให้บริการ DNS ที่รวดเร็วและปลอดภัย รวมถึง SSL/TLS Encryption ฟรีสำหรับเข้ารหัสข้อมูล

บริการ DNS 1.1.1.1 ของ Cloudflare เป็นหนึ่งในบริการ DNS ยอดนิยมที่สุดในโลก ประมวลผลคำขอนับหลายร้อยพันล้านครั้งต่อวัน ด้วยชุดบริการที่ครบครันนี้ ทำให้หลายองค์กรพึ่งพา Cloudflare เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักในการดำเนินธุรกิจ

สาเหตุและผลกระทบจากเหตุการณ์ล่ม

Cloudflare รายงานว่าเกิด “ทราฟฟิกผิดปกติเพิ่มสูงขึ้นอย่างกะทันหัน” ต่อบริการของตน ส่งผลให้เกิดข้อผิดพลาด 500 Error (Internal Server Error) กระจายไปทั่วระบบ แม้แต่ Dashboard และ API ของ Cloudflare เองก็ใช้งานไม่ได้

เหตุการณ์เริ่มตั้งแต่เวลา 06.40 น. ตามเวลาสหรัฐฯ หรือประมาณ 18.30 น. ตามเวลาไทย และกระทบเว็บไซต์ระดับโลกรวมถึงแพลตฟอร์มคริปโตอย่าง Arbiscan, DefiLlama และ Toncoin

Cloudflare ระบุว่าได้แก้ไขปัญหาเสร็จสิ้นและระบบกลับมาใช้งานได้แล้วเมื่อเวลาประมาณ 19.21 น. ตามเวลาไทย โดยกำลังทำงานร่วมกับบุคคลที่สามเพื่อสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริง

ทำไมมีศูนย์ข้อมูล 300 แห่งแล้วยังล่มได้

แม้ Cloudflare จะมีศูนย์ข้อมูลกระจายอยู่มากกว่า 300 เมืองทั่วโลก แต่ระบบทั้งหมดยังคงต้องพึ่งพา “ระบบควบคุมกลาง” ที่เชื่อมโยงศูนย์ข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกัน เมื่อระบบจัดการทราฟฟิกหรือ routing ที่ทำหน้าที่เป็น “สมองกลาง” เกิดข้อผิดพลาด ศูนย์ข้อมูลทั้ง 300 แห่งก็จะไม่สามารถทำงานประสานกันได้

นอกจากนี้ Cloudflare ทำหน้าที่เป็น “ด่านหน้า” ที่อยู่ระหว่างผู้ใช้กับเซิร์ฟเวอร์จริงของเว็บไซต์ หากระบบ “ด่านหน้า” นี้ล่ม ผู้ใช้จะไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้แม้เซิร์ฟเวอร์ต้นทางจะยังทำงานปกติ

ปัญหาสำคัญคือไฟล์ configuration เพียงไฟล์เดียวที่ผิดพลาด สามารถสร้างผลกระทบต่อเนื่องไปทั่วทั้งระบบได้ในเวลาไม่กี่นาที เนื่องจากระบบทั้งหมดใช้คอนฟิกเดียวกันหรือซิงค์กันอัตโนมัติ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการกระจายศูนย์ข้อมูลไม่ได้รับประกันความเสถียร 100% หากระบบซอฟต์แวร์ที่คุมทั้งหมดมีจุดอ่อนเดียว

​​

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Cloudflare สร้างวิกฤตทั้งโลก

เหตุการณ์ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2025 ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Cloudflare มีปัญหาจนกระทบผู้ใช้ทั่วโลก โดยมีเหตุการณ์สำคัญเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2025 บริการ DNS 1.1.1.1 ซึ่งเป็นของ Cloudflare ล่มเป็นเวลา 62 นาที ส่งผลให้ผู้ใช้นับล้านทั่วโลกไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้เลย เพราะระบบแปลงชื่อโดเมนเป็น IP address ทำงานไม่ได้ สาเหตุมาจากการตั้งค่าผิดพลาดภายในระบบ BGP (Border Gateway Protocol) ที่มีอยู่นานกว่าหนึ่งเดือนโดยไม่มีใครสังเกต จนกระทั่งถูกกระตุ้นโดยการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าอื่นในวันนั้น

นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์สำคัญอื่นๆ เช่น วันที่ 21 มีนาคม 2025 Cloudflare ล่มเป็นเวลา 1 ชั่วโมง 7 นาที จากข้อผิดพลาดในการหมุนเปลี่ยน credential ของระบบ R2 Gateway

วันที่ 12 มิถุนายน 2025 Cloudflare ประสบปัญหาใหญ่ที่กระทบบริการหลักหลายรายการเป็นเวลา 2 ชั่วโมง 28 นาที รวมถึง Workers KV, WARP, Access, Gateway และ Dashboard และวันที่ 16 กันยายน 2024 การล่มของ Cloudflare ทำให้ Zoom และ HubSpot ใช้งานไม่ได้เป็นเวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที

เหตุการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า Cloudflare แม้จะเป็นผู้ให้บริการขนาดใหญ่ แต่ก็ยังมีจุดอ่อนที่สามารถสร้างผลกระทบระดับโลกได้

ทำไม Facebook และบางเว็บไซต์หรือบริการไม่ล่ม

คำตอบสำคัญคือ Facebook และบริการขนาดใหญ่บางแห่งไม่ได้ใช้ Cloudflare เป็นผู้ให้บริการ CDN หลัก แต่พัฒนาและบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานของตัวเองที่เรียกว่า Facebook CDN แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่เช่น Facebook, Instagram และ WhatsApp ใช้ระบบ Content Delivery Network ที่สร้างขึ้นเองและกระจายทั่วโลก ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากการล่มของ Cloudflare

นอกจากนี้ บริษัทบางแห่งอาจใช้บริการ CDN จากผู้ให้บริการรายอื่นเช่น Amazon CloudFront, Google Cloud CDN หรือ Akamai ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานแยกจาก Cloudflare เว็บไซต์และแอปพลิเคชันที่รอดพ้นจากเหตุการณ์ครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ลงทุนสร้างระบบของตัวเองหรือกระจายความเสี่ยงด้วยการใช้ผู้ให้บริการหลายราย

บทเรียนสำคัญจากวิกฤตซ้ำซาก

เหตุการณ์ล่มซ้ำแล้วซ้ำเล่าเน้นย้ำถึงความเสี่ยงของการที่โครงสร้างอินเทอร์เน็ตโลกรวมศูนย์อยู่กับผู้ให้บริการรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย เมื่อ Cloudflare ล่ม ก็เหมือนกับถนนสายหลักของอินเทอร์เน็ตถูกปิด ทำให้เว็บไซต์นับล้านไม่สามารถเข้าถึงได้พร้อมกัน องค์กรควรมีแผนสำรองและกระจายความเสี่ยงโดยไม่พึ่งพาผู้ให้บริการรายเดียว รวมถึงเตรียมช่องทางสื่อสารกับผู้ใช้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน Cloudflare เองก็ได้ประกาศว่ากำลังปรับปรุงระบบเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาซ้ำ โดยยกเลิกระบบเก่าที่มีความเสี่ยงและเปลี่ยนมาใช้ระบบใหม่ที่มีการ deploy แบบค่อยเป็นค่อยไป หุ้น NET ของ Cloudflare ปรับตัวลดลง 3.5% ในตลาดก่อนเปิดซื้อขายหลังเหตุการณ์