October 31, 2025

TP-Link มีหนาว สหรัฐฯ จ่อแบนเราเตอร์ อ้างเหตุผลความมั่นคง หวั่นเป็นเครื่องมือจารกรรมให้จีน

มีรายงานว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกากำลังพิจารณามาตรการแบนเราเตอร์ยี่ห้อ TP-Link อย่างจริงจัง โดยให้เหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ การเคลื่อนไหวครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากหลายหน่วยงานสำคัญ และอาจส่งผลกระทบในวงกว้างต่อผู้บริโภคและตลาดอุปกรณ์เครือข่ายในสหรัฐฯ

เบื้องหลังคำสั่งแบน

ตามรายงานจาก The Washington Post หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ หลายแห่ง รวมถึงกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงกลาโหม ได้ร่วมมือกันพิจารณามาตรการดังกล่าวอย่างจริงจังมาตลอดช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา โดยมีการสอบสวนเกี่ยวกับบริษัท TP-Link ในประเด็นความมั่นคงของชาติมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งปี

ข้อกังวลหลักของทางการสหรัฐฯ คือ ความเชื่อมโยงที่อาจมีอยู่ระหว่าง TP-Link กับรัฐบาลจีน แม้ว่าบริษัทจะแยกตัวออกจากบริษัทแม่ในจีน (TP-Link Technologies) มาเป็นบริษัทอิสระในปี 2022 แล้วก็ตาม เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เกรงว่าภายใต้กฎหมายของจีน TP-Link อาจถูกบังคับให้ต้องปฏิบัติตามคำขอของหน่วยงานข่าวกรองจีน ซึ่งอาจรวมถึงการลักลอบปล่อยอัปเดตซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตราย (Malicious Software) ไปยังอุปกรณ์ของผู้ใช้งานได้

TP-Link โต้กลับ ยืนยันเป็นบริษัทอเมริกัน

ทางด้านโฆษกของ TP-Link ได้ออกมาปฏิเสธความเชื่อมโยงใดๆ กับรัฐบาลจีน พร้อมยืนยันว่า “การดำเนินการใดๆ ที่ส่งผลเสียต่อ TP-Link จะไม่กระทบต่อประเทศจีน แต่จะส่งผลร้ายต่อบริษัทอเมริกัน” โดยบริษัท TP-Link Systems ในสหรัฐฯ ได้ชี้แจงว่าบริษัทไม่ได้อยู่ภายใต้อาณัติของหน่วยข่าวกรองจีนแต่อย่างใด

ส่วนแบ่งตลาดมหาศาล และเกมการเจรจาการค้า

TP-Link ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์เราเตอร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในสหรัฐอเมริกา โดยบริษัทอ้างว่ามีส่วนแบ่งตลาดถึง 36% อย่างไรก็ตาม ในการให้การต่อสภาคองเกรสเมื่อช่วงต้นปี Rob Joyce อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของสหรัฐฯ ระบุว่าส่วนแบ่งตลาดของ TP-Link อาจสูงถึง 60% โดยส่วนหนึ่งมาจากการขายอุปกรณ์ในราคาที่ต่ำกว่าทุนเพื่อกำจัดคู่แข่งออกจากตลาด

การพิจารณาแบนผลิตภัณฑ์ของ TP-Link เกิดขึ้นท่ามกลางฉากหลังของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่กำลังตึงเครียด แหล่งข่าวระบุว่า แม้จะมีความคืบหน้าในการเจรจา แต่การแบน TP-Link ยังคงเป็นหนึ่งใน “ไพ่ต่อรอง” ที่รัฐบาลสหรัฐฯ อาจนำมาใช้ในการเจรจาครั้งนี้

ที่มา