October 17, 2025

จีนเดินหน้าผลิต “เรดาร์ควอนตัม” ใช้งานจริงแล้ว เครื่องบินสเตลธ์จะไม่ล่องหนอีกต่อไป

ประเทศจีนออกมาประกาศความสำเร็จในการผลิตเครื่องตรวจจับโฟตอนเดี่ยว (Single-Photon Detector) รุ่นใหม่ในปริมาณมาก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยี “เรดาร์ควอนตัม” ที่อาจสั่นคลอนความเป็นเจ้าแห่งน่านฟ้าของสหรัฐอเมริกา และอาจหมายถึงจุดสิ้นสุดของยุคที่เครื่องบินรบสเตลธ์อย่าง F-22 Raptor และ F-35 Lightning II จะสามารถล่องหนได้อย่างอิสระ

เทคโนโลยีดังกล่าวถูกพัฒนาโดยศูนย์วิจัยเทคโนโลยีวิศวกรรมสารสนเทศควอนตัม (Quantum Information Engineering Technology Research Centre) ในมณฑลอานฮุยของจีน โดยสื่อของรัฐบาลจีนได้ขนานนามอุปกรณ์ชิ้นนี้ว่า “ตัวจับโฟตอน” (Photon Catcher) ซึ่งมีความสามารถในการตรวจจับพลังงานหน่วยที่เล็กที่สุดอย่าง “โฟตอน” ได้อย่างแม่นยำ

เทคโนโลยีปฏิวัติวงการที่เหนือกว่า

สิ่งที่ทำให้ “ตัวจับโฟตอน” ของจีนน่าจับตามอง คือประสิทธิภาพที่ก้าวกระโดดไปอีกขั้น โดยเป็นระบบตรวจจับแบบ 4 ช่องสัญญาณ (Four-Channel) ที่มีขนาดเล็กกว่าผลิตภัณฑ์แบบช่องสัญญาณเดียวที่มีอยู่ในตลาดโลกถึง 9 เท่า สามารถทำงานได้ในอุณหภูมิต่ำสุดขั้วถึง -120°C และลดสัญญาณรบกวน (Noise) ลงได้ถึง 90%

ที่สำคัญที่สุดคือความสามารถในการสแกนหลายความยาวคลื่นได้พร้อมกัน ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการสร้างภาพเป้าหมายให้เร็วขึ้นอย่างมหาศาลโดยใช้พลังงานเพียงเล็กน้อย ความสามารถนี้เองที่ทำให้มันกลายเป็นองค์ประกอบหลักที่สมบูรณ์แบบสำหรับระบบเรดาร์ควอนตัมยุคใหม่

เรดาร์ควอนตัม ทำลายเกราะป้องกันของ “สเตลธ์” ได้อย่างไร?

เทคโนโลยีสเตลธ์ที่ใช้ในเครื่องบินรบของสหรัฐฯ ทำงานโดยการออกแบบรูปทรงลำตัวและใช้วัสดุพิเศษเพื่อดูดซับและหักเหคลื่นเรดาร์แบบดั้งเดิม ทำให้เรดาร์ภาคพื้นดินตรวจจับได้ยาก

แต่สำหรับเรดาร์ควอนตัม หลักการทำงานแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ระบบจะส่งอนุภาคโฟตอนที่ “พัวพันกัน” (Entangled Photons) ออกไป เมื่อโฟตอนเหล่านี้กระทบกับวัตถุใด ๆ แม้จะเป็นเครื่องบินสเตลธ์ คุณสมบัติทางควอนตัมของมันจะเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสิ่งที่เทคโนโลยีสเตลธ์ในปัจจุบันไม่สามารถซ่อนเร้นหรือป้องกันได้ ผู้เชี่ยวชาญด้านกลาโหมชี้ว่า แม้แต่สารเคลือบหรือรูปทรงที่ล้ำสมัยที่สุดก็ไม่สามารถปกปิดการเปลี่ยนแปลงสถานะควอนตัมของโฟตอนที่สะท้อนกลับมาได้

จีนอ้างว่าระบบเรดาร์ควอนตัมรุ่นก่อนหน้าสามารถตรวจจับเป้าหมายได้ไกลถึง 100 กิโลเมตร และบางระบบอาจมีระยะทำการถึง 500 กิโลเมตร การมาถึงของเครื่องตรวจจับโฟตอนรุ่นใหม่นี้จึงเป็นการยกระดับขีดความสามารถในการต่อต้านอากาศยานสเตลธ์ไปอีกขั้นอย่างมีนัยสำคัญ

ท่าทีของสหรัฐฯ และนัยสำคัญต่อสมรภูมิโลก

แม้ว่ากระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) จะยังคงสงวนท่าทีต่อการประกาศของจีน แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ต่างยอมรับถึงภัยคุกคามจากเทคโนโลยีควอนตัมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายงานประเมินจากสำนักข่าวกรองกลาโหม (DIA) ในปี 2025 ได้เตือนว่าเทคโนโลยีควอนตัม “ใกล้เข้าสู่การใช้งานทางการทหารอย่างเต็มรูปแบบ” และชาติคู่แข่งกำลังทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการตรวจจับที่อาจท้าทายความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ของอเมริกา

ร็อบ แมคเฮนรี รองผู้อำนวยการ DARPA (หน่วยงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศของสหรัฐฯ) เคยกล่าวไว้ว่า “ยุคสมัยของเทคโนโลยีสเตลธ์อาจกำลังจะสิ้นสุดลง” เนื่องจากการเติบโตของเซ็นเซอร์ควอนตัมและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งจะทำให้การ “ซ่อนตัว” ในสมรภูมิทำได้ยากขึ้น อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ยังคงยืนยันว่าเทคโนโลยีสเตลธ์ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น โดยล่าสุดบริษัท Lockheed Martin เพิ่งได้รับสัญญามูลค่า 270 ล้านดอลลาร์เพื่ออัปเกรดเครื่องบิน F-22 ด้วยระบบป้องกันอินฟราเรดขั้นสูง

ความสำเร็จของจีนในครั้งนี้ตอกย้ำถึงการแข่งขันทางเทคโนโลยีที่ดุเดือดระหว่างสองมหาอำนาจ ในขณะที่จีนพยายามหาทางทำลายความเหนือกว่าทางอากาศของสหรัฐฯ วอชิงตันเองก็ต้องเร่งปรับตัวและพัฒนาขีดความสามารถของตนเพื่อรับมือกับยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยเซ็นเซอร์อันซับซ้อนและทรงพลังยิ่งกว่าเดิม

ที่มา