October 6, 2025

10 เครื่องมือ SOAR ยุคใหม่ เสริมแกร่งศูนย์ SOC รับมือและจัดการความปลอดภัยไซเบอร์อัตโนมัติ

ในยุคที่ภัยคุกคามไซเบอร์ทวีความซับซ้อนและปริมาณการแจ้งเตือน (alerts) เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ศูนย์ปฏิบัติการด้านความปลอดภัยไซเบอร์ (Security Operations Center – SOC) ต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ การใช้ SOAR หรือ Security Orchestration, Automation, and Response จึงกลายเป็นเครื่องมือที่องค์กรทั่วโลก รวมถึงในไทย ให้ความสำคัญมากขึ้น เพราะช่วยให้องค์กรจัดการเหตุการณ์ได้รวดเร็ว ลดภาระงานซ้ำ ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทีมรักษาความปลอดภัย

ทำไม SOAR จึงมีความสำคัญ

SOAR (Security Orchestration, Automation, and Response) คือเทคโนโลยีที่ช่วย จัดการเหตุการณ์ความปลอดภัยไซเบอร์อย่างเป็นระบบ โดยรวมทั้งการประสานงาน (Orchestration) การทำงานอัตโนมัติ (Automation) และการตอบสนองต่อเหตุการณ์ (Response) เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ทีมรักษาความปลอดภัยสามารถรับมือกับภัยคุกคามได้รวดเร็ว ลดความซ้ำซ้อนของงาน ลดภาระ และเพิ่มประสิทธิภาพของศูนย์ปฏิบัติการด้านความปลอดภัย (SOC)

ต่อไปนี้คือ 10 เครื่องมือ SOAR ที่โดดเด่นที่สุดในปี 2025 ซึ่งแต่ละโซลูชันมีจุดแข็ง จุดอ่อน และความเหมาะสมกับประเภทองค์กรที่แตกต่างกันไป มาดูกันว่าโซลูชันใดที่น่าสนใจบ้าง

1. Splunk SOAR – มาตรฐานที่องค์กรใหญ่ยอมรับ

Splunk SOAR ถือเป็นหนึ่งในโซลูชัน SOAR ที่แข็งแกร่งที่สุดในตลาด จุดเด่นอยู่ที่ ความสามารถในการเชื่อมต่อกับเครื่องมือกว่า 300+ รายการ ครอบคลุมทั้ง SIEM, endpoint, firewall, cloud service และ threat intelligence ต่าง ๆ ทำให้ SOC สามารถสร้าง workflow ที่ตอบโจทย์เฉพาะองค์กรได้อย่างยืดหยุ่น

อีกจุดเด่นคือ มี playbook ที่ปรับแต่งได้สูง ผู้ดูแลระบบสามารถสร้างขั้นตอนการตอบสนองอัตโนมัติแบบละเอียดได้ ไม่ว่าจะเป็นการ quarantine endpoint, ปิดกั้น IP ที่เป็นภัยคุกคาม หรือเปิดเคสให้ทีม incident response

Splunk ยังผสาน Machine Learning (ML) เพื่อช่วยจัดลำดับความสำคัญของภัยคุกคาม ลดเวลาที่ทีมต้องเสียไปกับการตรวจสอบแจ้งเตือนผิดพลาด (false positive) โดยผู้ใช้สามารถ deploy ได้ทั้ง on-premises, cloud หรือ hybrid

จุดสังเกต: ราคาสูงและต้องการทีมที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคพอสมควร เหมาะกับองค์กรขนาดกลางถึงใหญ่ที่มีศูนย์ SOC แบบ dedicated

2. Palo Alto Networks Cortex XSOAR – โซลูชันครบวงจรจากเจ้าตลาดความปลอดภัยเครือข่าย

Cortex XSOAR เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกยอดนิยม โดยต่อยอดมาจากความแข็งแกร่งของ Palo Alto Networks จุดเด่นคือ การจัดการเคสและ incident response ครบวงจร ตั้งแต่การตรวจจับ การแจ้งเตือน ไปจนถึงการแก้ไขและปิดเคส

แพลตฟอร์มนี้มาพร้อม playbook สำเร็จรูปกว่า 680+ ที่ช่วยให้องค์กรเริ่มต้นใช้งานได้ทันที ไม่ต้องสร้าง workflow จากศูนย์ และยังสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ

Cortex XSOAR มีระบบ incident scoring ที่ช่วยจัดลำดับความสำคัญตามความรุนแรงและผลกระทบต่อธุรกิจ ทำให้ทีม SOC สามารถโฟกัสกับเคสที่สำคัญจริง ๆ

จุดสังเกต: การติดตั้งและตั้งค่าอาจซับซ้อน และมีค่าใช้จ่ายสูงสำหรับองค์กรเล็ก แต่สำหรับองค์กรที่ใช้โซลูชันของ Palo Alto อยู่แล้ว ถือว่าเป็นการต่อยอด ecosystem ที่คุ้มค่า

3. Fortinet FortiSOAR – Ecosystem ครบวงจรในตระกูล Fortinet

FortiSOAR เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับองค์กรที่ใช้โซลูชันของ Fortinet อยู่แล้ว จุดแข็งคือ ทำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์ Fortinet เช่น FortiGate, FortiEDR ได้อย่างไร้รอยต่อ

มีระบบ war room สำหรับ incident response ที่ทีมสามารถทำงานร่วมกันได้แบบเรียลไทม์ รวมถึง AI-driven recommendation ที่ช่วยแนะนำการตอบสนองที่เหมาะสมที่สุด

จุดสังเกต: หากต้องเชื่อมต่อกับ third-party solution ที่ไม่ใช่ของ Fortinet อาจต้องมีการปรับแต่งเพิ่ม

4. IBM Security QRadar SOAR – มีความโดดเด่นในด้านการกำกับตามมาตรฐาน Compliance และการรับมือข้อมูลรั่วไหล

IBM QRadar SOAR โดดเด่นเรื่อง การจัดการเหตุการณ์ตามกรอบกฎหมายและมาตรฐานสากล เช่น GDPR, HIPAA และ PDPA ทำให้องค์กรที่อยู่ในอุตสาหกรรมการเงิน การสาธารณสุข หรือพลังงาน ซึ่งมีข้อกำหนดเข้มงวด สามารถใช้เพื่อลดความเสี่ยงด้าน compliance

แพลตฟอร์มมี dashboards ที่ปรับแต่งได้ แสดงภาพรวมของเหตุการณ์และการตอบสนองแบบเรียลไทม์ อีกทั้งยังสามารถ correlate ข้อมูลจาก SIEM เพื่อระบุเหตุการณ์ที่ซับซ้อนและต่อเนื่องได้

จุดสังเกต: การบูรณาการกับระบบเก่าอาจซับซ้อน และ playbook ต้องการการปรับแต่งเพิ่มเติมเพื่อให้เหมาะกับ workflow ของแต่ละองค์กร

5. Google Security Operations – Cloud-native พร้อม AI วิเคราะห์เชิงลึก

โซลูชันของ Google เน้นไปที่การทำงานแบบ cloud-native โดยใช้เทคโนโลยี AI และ BigQuery ในการประมวลผลข้อมูลความปลอดภัยจำนวนมหาศาลอย่างรวดเร็ว SOC สามารถตรวจสอบเหตุการณ์และวิเคราะห์เชิงลึกได้เกือบแบบเรียลไทม์

เหมาะอย่างยิ่งกับองค์กรที่ใช้ Google Cloud Platform (GCP) อยู่แล้ว เนื่องจากการเชื่อมต่อจะทำได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังมีความสามารถด้าน threat hunting และ forensics ที่ช่วยทีมสืบสวนหาต้นตอการโจมตี

จุดสังเกต: สำหรับองค์กรที่ไม่ได้อยู่บน ecosystem ของ Google ประสิทธิภาพอาจไม่เต็มที่ และการเชื่อมต่อกับระบบ legacy หรือ on-premises อาจมีข้อจำกัด

6. Microsoft Sentinel – โซลูชัน SOAR สำหรับผู้ใช้ Microsoft โดยเฉพาะ

Microsoft Sentinel ได้รับความนิยมอย่างมากในองค์กรที่ใช้ Azure และ Microsoft 365 จุดแข็งคือ การทำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ Microsoft ทำให้ SOC สามารถเข้าถึงข้อมูลจากระบบที่ใช้งานอยู่แล้วอย่างง่ายดาย

Sentinel ใช้ AI และ Machine Learning ในการตรวจสอบและตอบสนองอัตโนมัติ พร้อม dashboard รวมศูนย์ ที่ให้มุมมองแบบครบวงจรของเหตุการณ์ทั้งหมดในองค์กร

จุดสังเกต: ถ้าโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรไม่ได้อยู่บน Microsoft อาจไม่สามารถใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์ได้เต็มที่ อีกทั้งยังต้องอาศัยความรู้ด้าน Azure อย่างลึกซึ้ง

7. ServiceNow Security Operations – ผสาน SOC กับ IT Service Management

ServiceNow เป็นผู้นำด้าน IT Service Management (ITSM) และได้ต่อยอดเข้าสู่ SOAR ด้วยจุดเด่นคือ การผสานการจัดการด้านไอทีเข้ากับความปลอดภัย ช่วยให้องค์กรสามารถเห็นภาพรวมของเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงกับบริการทางธุรกิจได้อย่างแท้จริง

แพลตฟอร์มมีความสามารถด้าน asset visibility และ threat context ทำให้ SOC สามารถประเมินความเสี่ยงโดยตรงต่อระบบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ

จุดสังเกต: หากองค์กรไม่ได้ใช้ ServiceNow อยู่แล้ว การนำเข้ามาใช้อาจซับซ้อน และต้องปรับ workflow ภายในองค์กรให้เข้ากับระบบใหม่

8. Sumo Logic Cloud SOAR – คลาวด์เนทีฟ ใช้งานง่าย

Sumo Logic Cloud SOAR ออกแบบมาเพื่อองค์กรที่ใช้ multi-cloud หรือ hybrid cloud จุดเด่นคือ low-code / no-code ที่ช่วยให้ทีม SOC สามารถสร้าง workflow และ playbook ได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดมาก

มีระบบ AI วิเคราะห์พฤติกรรมภัยคุกคาม และการจัดการเหตุการณ์ที่ยืดหยุ่น เหมาะกับองค์กรที่ต้องการโซลูชันที่ตั้งค่าได้ง่ายและปรับตัวเร็ว

จุดสังเกต: ฟีเจอร์อาจไม่ลึกเท่ากับผู้เล่นรายใหญ่ และอาจขาด integrations เฉพาะทางบางประเภท

9. Tines – โซลูชันแบบ Code-free สำหรับทีมขนาดเล็กถึงกลาง

Tines มีจุดขายคือ ใช้งานง่าย ไม่ต้องเขียนโค้ด ทำให้ทีมที่ไม่มีนักพัฒนาเฉพาะทางสามารถสร้าง workflow ได้รวดเร็ว โซลูชันนี้มุ่งเน้นการทำให้ SOAR ไม่ใช่แค่สำหรับผู้เชี่ยวชาญ แต่เปิดให้ทุกทีมใช้งานได้จริง ใช้งานได้กับองค์กรทุกขนาด

แม้จะไม่ซับซ้อนเท่า Splunk หรือ Cortex แต่ความเรียบง่ายและความเร็วในการ deploy ทำให้ Tines เหมาะกับทีมที่ต้องการ automation เบื้องต้นโดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรมาก

จุดสังเกต: ฟีเจอร์ขั้นสูงและ integrations บางอย่างยังมีจำกัดเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายใหญ่

10. Swimlane Turbine – โดดเด่นในเรื่องการรองรับการขยายระบบ และการดูแลสนับสนุนจากผู้ผลิตโดยตรง

Swimlane Turbine มีชื่อเสียงด้าน scalability สูง รองรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีปริมาณ alert หลักล้านต่อวัน จุดเด่นอยู่ที่การผสานระบบได้หลากหลาย พร้อมด้วย AI ที่ช่วยเพิ่มข้อมูลเชิงลึกของเหตุการณ์โดยอัตโนมัติ

อีกหนึ่งข้อได้เปรียบคือการสนับสนุนจากผู้ผลิตที่ได้รับคำชมว่ามีคุณภาพสูง ทำให้เหมาะกับองค์กรที่ต้องการโซลูชันระยะยาวพร้อม partner ที่เชื่อถือได้

จุดสังเกต: ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และต้องมีการวางแผนใช้งานเพื่อให้ ROI คุ้มค่า

ที่มา