August 4, 2025

ประกันภัยไซเบอร์ไทยโตต่อเนื่อง หลังหลายองค์กรเสียหายจากเหตุภัยไซเบอร์และข้อมูลรั่วไหล

ในปี 2025 ประเทศไทยกำลังเผชิญกับคลื่นการโจมตีไซเบอร์ครั้งใหญ่ ที่สร้างความเสียหายให้กับองค์กรธุรกิจนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี มีเหตุการณ์การรั่วไหลของข้อมูลจำนวนมาก ทั้งจากการแฮกข้อมูลลูกค้า การโจมตีเรียกค่าไถ่ และความผิดพลาดของระบบภายในองค์กรเอง ซึ่งไม่เพียงแต่กระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้หลายบริษัทต้องเสียค่าเสียหายจำนวนมหาศาล หรือหยุดดำเนินธุรกิจชั่วคราวเพื่อแก้ไขวิกฤตดังกล่าว

ภายใต้แรงกดดันนี้ แนวโน้มที่เห็นได้ชัดเจนคือ องค์กรไทยจำนวนมากเริ่มหันมาให้ความสนใจและลงทุนในประกันภัยไซเบอร์มากขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในภาคการเงิน การค้าปลีก และธุรกิจที่ต้องจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าจำนวนมาก ทั้งนี้ก็เพื่อใช้เป็นกลไกในการลดความเสี่ยงทางการเงิน หากเกิดเหตุการณ์โจมตีไซเบอร์หรือข้อมูลรั่วไหลในอนาคต

พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ที่มีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ ยิ่งเป็นปัจจัยเร่งให้บริษัทต่างๆ ต้องลงมือดำเนินการจริงจังกับการป้องกันข้อมูลมากขึ้น เนื่องจากบทลงโทษตามกฎหมายมีทั้งโทษปรับสูงและอาจมีผลทางแพ่ง หากพบว่าข้อมูลของลูกค้าถูกเปิดเผยโดยไม่มีการป้องกันที่เพียงพอ ทำให้การมีประกันภัยไซเบอร์ไม่ใช่เพียงเรื่องของการคุ้มครอง แต่กลายเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงที่ขาดไม่ได้ในยุคนี้

สำนักงานความมั่นคงไซเบอร์แห่งชาติ (NCSA) ได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เพื่อผลักดันการสร้างกรอบมาตรฐานสำหรับผลิตภัณฑ์ประกันภัยไซเบอร์ในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นให้กรมธรรม์มีความเข้าใจง่าย ครอบคลุมการคุ้มครองที่จำเป็น และสามารถเข้าถึงได้ทั้งองค์กรขนาดใหญ่และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)

ที่ผ่านมา ตลาดประกันภัยไซเบอร์ในไทยยังถือว่าเล็กเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น แต่หลังเหตุการณ์โจมตีในช่วงต้นปี 2025 ธุรกิจหลายรายเริ่มเห็นถึงความจำเป็นในการเตรียมพร้อมรับมือความเสี่ยงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ผู้ประกอบการหลายรายจึงเริ่มพัฒนาแพ็กเกจประกันภัยไซเบอร์ที่เน้นความเรียบง่าย เข้าถึงได้ และเหมาะสมกับธุรกิจในหลากหลายขนาดและอุตสาหกรรม

แม้กระแสความสนใจจะเพิ่มขึ้น แต่อุปสรรคหลักยังคงมีอยู่หลายประการ เช่น ค่าเบี้ยประกันที่ยังค่อนข้างสูง การขาดแคลนข้อมูลสถิติที่ใช้ในการประเมินความเสี่ยง และความเข้าใจผิดของผู้บริหารองค์กรที่มองว่าภัยไซเบอร์เป็นเรื่องของฝ่ายไอทีเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ กรมธรรม์ประกันภัยไซเบอร์ในบางกรณียังมีเงื่อนไขที่ซับซ้อน ทำให้ผู้เอาประกันไม่เข้าใจถึงสิทธิความคุ้มครองที่แท้จริง

ข้อมูลในปี 2021 ค่าเบี้ยประกันภัยไซเบอร์เฉลี่ยในสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 1,589 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือราว 57,000 บาทต่อปี หรือประมาณ 4,750 บาทต่อเดือน โดยสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ถูกโจมตีทางไซเบอร์มากที่สุดในโลก

อ้างอิงจากรายงานของ IBM บริษัทต่าง ๆ ในสหรัฐฯ ต้องใช้เงินเฉลี่ยเกือบ 4 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 144 ล้านบาท ต่อกรณี เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหล ขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กต้องใช้เงินราว 36,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1.3 ล้านบาท ต่อเหตุการณ์

ส่วนธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ต้องแบกรับค่าเสียหายเฉลี่ยสูงถึง 86,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 3.1 ล้านบาท ต่อครั้ง ตามข้อมูลจาก First Data และ Kaspersky ตามลำดับ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของการทำประกันภัยไซเบอร์เพื่อบริหารความเสี่ยงเชิงเศรษฐกิจในยุคที่ภัยคุกคามทางดิจิทัลรุนแรงและถี่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง.

ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์เสนอว่า นอกจากการมีประกันภัยแล้ว องค์กรควรเร่งยกระดับมาตรการด้านไอที เช่น การใช้โมเดล Zero Trust การเข้ารหัสข้อมูล การยืนยันตัวตนหลายชั้น และการฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับความเสี่ยงไซเบอร์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยี AI เริ่มถูกนำมาใช้ในการโจมตีมากขึ้น พร้อมกันนี้ การมีแผนตอบสนองต่อเหตุการณ์ (Incident Response Plan) ที่ชัดเจน จะช่วยลดระยะเวลาและความเสียหายในการกู้คืนระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปรากฏการณ์การหันมาใช้ประกันภัยไซเบอร์ในไทย อาจเป็นสัญญาณบวกที่สะท้อนว่าภาคธุรกิจไทยเริ่มตื่นตัวกับภัยไซเบอร์อย่างจริงจังมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความยั่งยืนของการป้องกันยังต้องอาศัยทั้งนโยบายระดับประเทศ การผลักดันจากหน่วยงานกำกับดูแล และการเปลี่ยนแปลงแนวคิดของผู้บริหารองค์กร ที่ต้องมองว่าความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ไม่ใช่ต้นทุน แต่คือการลงทุนเพื่อความอยู่รอดในยุคดิจิทัล

ที่มา