Broadcom เปิดตัว VMware Cloud Foundation 9 (VCF 9) ที่งาน VMware Explore 2024
Broadcom เปิดตัว VMware Cloud Foundation 9 (VCF 9) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคตของ VMware Cloud Foundation ที่จะเร่งการเปลี่ยนผ่านจากสถาปัตยกรรมไอทีแบบ Silo ไปสู่แพลตฟอร์ม private cloud ที่รวมเป็นหนึ่งเดียวและบูรณาการเข้าด้วยกัน ซึ่งช่วยลดต้นทุนและความเสี่ยงของลูกค้าได้ VMware Cloud Foundation 9 จะช่วยลดความซับซ้อนในการสร้างและการบริหารจัดการ private cloud ที่ปลอดภัยและคุ้มต้นทุนอย่างเห็นได้ชัด
VMware Cloud Foundation เป็นแพลตฟอร์ม private cloud แรกของวงการที่สามารถขยายระบบและมีความยืดยุ่นได้เทียบเท่ากับ Public Cloud โดยมีความปลอดภัย ความยืดหยุ่น และประสิทธิภาพการทำงานในระดับของ Private Cloud อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายโดยรวมในการลงทุนที่ต่ำกว่าอีกด้วย VMware Cloud Foundation จึงช่วยสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมดิจิทัลของลูกค้าได้เป็นอย่างดี
จากรายงานการศึกษามูลค่าธุรกิจของ IDC ล่าสุดพบว่า องค์กรที่เข้าร่วมตอบแบบสอบถามได้ใช้ VMware Cloud Foundation เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน private & hybrid cloud ที่มีความปลอดภัย คล่องตัว ยืดหยุ่น และคุ้มทุน เมื่อวิเคราะห์จากคำตอบและนำมาเปรียบเทียบกับสภาพแวดล้อมก่อนใช้ VMware Cloud Foundation พบว่าลูกค้าบรรลุผลสำเร็จดังนี้:
- ต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานลดลง 34% และประสิทธิภาพของทีมงานที่ดูแลระบบโครงสร้างพื้นฐานและระบบรักษาความปลอดภัยเพิ่มขึ้น 50% ส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานโดยรวมลดลง 42%1
- ใช้เวลาในการสร้างและบริหารจัดการ VM ใหม่เร็วขึ้น 61% ความสามารถในการทำงานของเครือข่ายเร็วขึ้น 50% และการจัดเก็บข้อมูลเร็วขึ้น 32% ส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) โดยรวมใน 3 ปีอยู่ที่ 564% และคืนทุนภายใน 10 เดือน1
“VMware Cloud Foundation 9 จะกำหนดขอบเขตใหม่สำหรับระบบ private cloud ด้วยการนำเสนอแพลตฟอร์มแบบบูรณาการที่ทันสมัย ซึ่งจะรวมการบริหารจัดการและระบบอัตโนมัติเข้าด้วยกัน เพื่อมอบประสบการณ์ระบบคลาวด์ที่ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น มีประสิทธิภาพ ยืดหยุ่น และปลอดภัยยิ่งขึ้น เพื่อปิดการใช้งานโครงสร้างพื้นฐานแบบ Silo เรียกคืนการควบคุมการขยายตัวของระบบ public cloud และคว้าโอกาสสำหรับการประยุกต์ใช้ AI ในองค์กร ลูกค้าของเราจึงเปลี่ยนจากสถาปัตยกรรมแบบ Silo ไปเป็นแพลตฟอร์ม private cloud ที่ล้ำสมัย” Krish Prasad รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป ฝ่าย VMware Cloud Foundation by Broadcom กล่าว
ข้อมูลสำคัญที่ได้จากการเปิดตัว VMware Cloud Foundation 9:
- Private Cloud เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้งานบนโครงสร้างพื้นฐานส่วนตัวขององค์กร ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด: DC, Edge, Hyperscaler, ผู้ให้บริการ ฯลฯ license portability คือส่วนสำคัญของกลยุทธ์นี้
- VMware Private AI ที่ทำงานบน VMware Cloud Foundation 9 จะช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับตัวให้ทำงานสอดคล้องกับสภาพแวดล้อม private cloud ได้อย่างยอดเยี่ยม ช่วยให้พวกเขาสามารถก้าวทันและต่อยอดจินตนาการเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมได้อย่างต่อเนื่อง
- เร่งการขับเคลื่อน VMware Private AI Foundation มาใช้ร่วมกับ NVIDIA: โดยมุ่งเป้าไปยังองค์กรที่ต้องการใช้ประโยชน์จากขุมพลังของ AI ในขณะที่ยังคงใช้ข้อดีต่างๆ ของ private cloud ได้ โดยให้โซลูชันที่ครอบคลุมสำหรับการสร้าง การจัดการ และการขยายแอปพลิเคชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพบน Private Cloud ด้วย VMware Cloud Foundation 9 ทาง Broadcom จะนำเสนอ VMware Private AI Foundation ใหม่ที่มาพร้อมความสามารถของ NVIDIA ที่จะช่วยลดความซับซ้อนในการสร้าง GenAI Application เช่น การมองเห็นโปรไฟล์ vGPU การจองใช้งาน GPU การจัดทำฐานข้อมูลเพื่อใช้งานร่วมกับ LLM และการสร้างส่วนประกอบอื่นๆที่จำเป็นสำหรับ GenAI Application
- ทาง Tanzu ได้พัฒนาไปสู่แพลตฟอร์มเดียวที่สามารถใช้งานรันไทม์ที่แตกต่างกัน (Kubernetes และ Cloud Foundry/TAS) ซึ่งทุกอย่างที่นักพัฒนาต้องการในการสร้างแอปพลิเคชันนั้น จะถูกทำให้เป็นระบบ Automation ลดภาระงานทางกระบวนการคิดที่จำเป็น สามารถปรับขยายแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ โดย VMware Tanzu Platform 10 สามารถติดตั้งบน VMware Cloud Foundation ได้อย่างราบรื่น โดยมีการผูกการจัดการเข้ากับ VMware Cloud Foundation และ Private AI
- การลงชื่อเข้าใช้งานครั้งเดียว (Single-Sign-On) เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญของ VMware Cloud Foundation 9 ที่จะมอบความสามารถที่ช่วยให้โครงสร้างพื้นฐานทำงานเป็นระบบรวมและอัตโนมัติเพียงตัวเดียว ช่วยให้ลูกค้าสามารถก้าวทันความต้องการของแอปสมัยใหม่ และนำความสามารถขั้นสูงของ VMware ที่มีอยู่แล้วจาก Broadcom มาสู่แพลตฟอร์ม private cloud
- VMware Cloud Foundation มักจะทำงานคู่กับ 2 ทีมหลักคือ ทีมโครงสร้างพื้นฐาน (Operation Team) และวิศวกรแพลตฟอร์ม (Platform Team) ที่ใช้ทรัพยากรไอทีเพื่อใช้งานแอปพลิเคชัน สำหรับทั้งสองกลุ่มนั้น ทาง VMware Cloud Foundation มี VCF Operations หรือคอนโซลหลักสำหรับการบริหารจัดการแพลตฟอร์ม โดยเริ่มตั้งแต่การตรวจวิเคราะห์ไปจนถึง Application Topology ระบบจัดการ Tenant ไปจนถึง Application Blueprint และความสามารถอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นอีกมากมาย ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ที่จะทำให้วิสัยทัศน์ของ Private Cloud แพลตฟอร์มเป็นจริง
นอกจากนี้ แพลตฟอร์ม VMware Cloud Foundation ยังเพิ่มเติม Advanced services ไว้ให้เลือกใช้ เช่น data service, private AI, security ความยืดหยุ่น บริการข้อมูล AI ส่วนตัว ความปลอดภัย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม VMware Cloud Foundation 9 ไม่ได้เป็นแค่คอนโซลที่มาพร้อมฟีเจอร์เพิ่มเติมบางอย่างเท่านั้น แต่ยังเสริมคุณลักษณะและความสามารถใหม่ๆ มากมายที่ฝังอยู่ในผลิตภัณฑ์หลักของเราด้วย อาทิ ESX, vSAN และ NSX คุณลักษณะใหม่ที่สำคัญมีดังต่อไปนี้:
Platform-wide integrations (การบูรณาการทั่วทั้งแพลตฟอร์ม):
- Expanced VCF import: VCF import รุ่นสองมาพร้อมความสามารถที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้การย้ายระบบเดิมมาสู่ VMware Cloud Foundation ทำได้ง่ายขึ้นสำหรับลูกค้าของเรา โดยสามารถ import ระบบ VMware NSX, VMware vDefend, VMware Avi Load Balancer และโครงสร้างพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่มีความซับซ้อนเข้าสู่ VMware Cloud Foundation ได้แล้ว พร้อมทั้ง UI แบบใหม่ที่ใช้งานง่ายช่วยให้การจัดการและการประยุกต์ใช้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
- VCF Multi-Tenancy: VMware Cloud Foundation 9 จะติดตั้ง Multi-Tenant ในตัวโดยไม่ต้องมี VMware Cloud Director แยกอีกต่อไป ช่วยให้ทีม IT ของบริษัทสามารถสนับสนุนองค์กรต่างๆ กลุ่มธุรกิจ หรือทีมพัฒนาบนโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้ร่วมกันได้ ขณะเดียวกันก็อนุญาตให้เจ้าของแอปพลิเคชันและทีมพัฒนาแบ่งส่วนโครงสร้างพื้นฐานตามความต้องการเฉพาะของตนสำหรับการเข้าถึง การจัดการภาระงาน ระบบรักษาความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว
Compute (การประมวลผล):
- Advanced Memory Tiering with NVMe: ฟีเจอร์นี้เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการหน่วยความจำ โดยการถ่ายโอนข้อมูลcold data ไปยังพื้นที่เก็บข้อมูล NVMe ในขณะที่เก็บข้อมูลที่ใช้งานประจำไว้ใน DRAM ส่งผลให้การ consolidate เซิร์ฟเวอร์ดีขึ้น 40% ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถรันภาระงานได้มากขึ้นด้วยจำนวนเซิร์ฟเวอร์น้อยลง นอกจากนี้ การแบ่ง tier storage ของแอปพลิเคชัน AI ช่วยปรับสเกลโซลูชันเพื่อคงประสิทธิภาพการทำงานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเกินไป
- Confidential Computing with TDX: มอบความปลอดภัยขั้นสูงด้วยการแยกและเข้ารหัสภาระงาน ช่วยให้มั่นใจถึงความสมบูรณ์และความเป็นส่วนตัวของข้อมูลในระดับไฮเปอร์ไวเซอร์ได้
- Kubernetes Service Enhancements: VMware Cloud Foundation จะรวมการสนับสนุนแบบพร้อมใช้งานสำหรับ Windows containers การเชื่อมต่อเครือข่ายโดยตรงผ่าน VPC และการรองรับ Native OVF ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความสามารถในการ scale แอปพลิเคชันได้
Storage (พื้นที่จัดเก็บข้อมูล):
- Native vSAN-to-vSAN Data Protection with Deep Snapshots: ให้การกู้คืนข้อมูลได้เกือบจะทันทีด้วย RPO 1 นาที มอบการทำระบบการกู้คืนข้อมูลในกรณีเกิดภัยภิบัติ
- Integrated vSAN Global Deduplication: ลดต้นทุนการจัดเก็บข้อมูลลง 46% ต่อเทราไบต์ เมื่อเทียบกับโซลูชันดั้งเดิม ด้วยการกำจัดข้อมูลซ้ำซ้อนที่มีประสิทธิภาพทั่วทั้งคลัสเตอร์
- vSAN ESA Stretched Site Recovery: ช่วยรับประกันความต่อเนื่องของธุรกิจ โดยดูแลระบบปฏิบัติงานและความพร้อมใช้งานของข้อมูลแม้ในกรณีที่เกิดล่มเพื่อความต่อเนื่องของการทำงาน
Networking (ระบบเครือข่าย):
- Native VPCs in vCenter and VCF Automation: ลดความซับซ้อนในการสร้างและจัดการเครือข่ายแยกที่ปลอดภัย ลดความซับซ้อนและเวลาที่จำเป็นในการตั้งค่าเครือข่ายเสมือน
- High-Performance Network Switching with NSX Enhanced Data Path: มอบประสิทธิภาพการทำงานของ switching ที่เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ตอบสนองความต้องการของแอปพลิเคชันที่ทันสมัยซึ่งมีการใช้ข้อมูลที่เข้มข้น และลดเวลาแฝงของเครือข่าย
- Easy Transition from VLAN to VPC: ปรับกระบวนการย้ายข้อมูลจากเครือข่ายที่ใช้ VLAN ดั้งเดิมไปยัง VPC ให้คล่องตัวขึ้น ลดความซับซ้อนในการจัดการเครือข่ายและปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัย
การเปิดตัวโมเดลและบริการสำคัญอื่นๆ อาทิ:-
- VLR On-premises Isolated Recovery environment: คุณลักษณะใหม่นี้จะมอบความสามารถที่โดดเด่นของสิ่งที่เราสามารถทำได้บนคลาวด์แต่อยู่ภายในสถานที่ของลูกค้า สะดวกสำหรับสภาพแวดล้อมที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกฏระเบียบ และอีกไม่นานเราจะมอบความสามารถ VLR สำหรับระบบคลาวด์อื่นๆ
- Model Store: Harbor เป็นโครงการโอเพ่นซอร์สที่เราภูมิใจมาก พร้อมแล้วที่จะส่งมอบคลังโมเดลที่ปลอดภัย ในโลกปัจจุบันที่โมเดลกำลังจะกลายเป็นทรัพย์สินทางปัญญา เพราะช่วยขับเคลื่อนความได้เปรียบทางการแข่งขัน และอยู่ภายใต้การตรวจสอบ ดังนั้นคลังโมเดลจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
- NIM and Nvidia AI Foundation Models: NVIDIA NIM ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ NVIDIA AI Enterprise เป็นชุดไมโครเซอร์วิสที่ใช้งานง่าย ซึ่งออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้สำหรับการอนุมาน high performance AI model บน public และ private cloud รวมถึงเวิร์กสเตชัน คอนเทนเนอร์ที่สร้างไว้ล่วงหน้าเหล่านี้รองรับโมเดล AI หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่โมเดลโอเพ่นซอร์ส NVIDIA AI Foundation ไปจนถึงโมเดล AI ที่ปรับแต่งเองได้ NVIDIA NIM Operator ทำให้การนำ Generative AI ที่อยู่ใน pipeline ขึ้นใช้งานบนระบบจริงเป็นเรื่องง่าย โดยทำให้การปรับใช้งาน การปรับขนาด และการบริหารจัดการ RAG ใน pipeline และการทำ AI inferencing เป็นไปแบบอัตโนมัติ
- Data Indexing & Retrieval Service: บริการจัดทำดัชนีและเรียกค้นข้อมูล จะช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถแบ่งส่วน จัดทำดัชนีแหล่งข้อมูลส่วนตัว (เช่น PDF, CSV, PPT, เอกสาร Microsoft Office, เว็บภายในหรือหน้า wiki) และแปลงข้อมูลเป็นเวกเตอร์ได้ ข้อมูลเวกเตอร์นี้จะพร้อมใช้งานผ่านฐานความรู้ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและทีม MLOps จะสามารถอัปเดตฐานความรู้ตามกำหนดเวลาหรือตามความต้องการ เพื่อให้แน่ใจว่าแอปพลิเคชัน Gen AI สามารถเข้าถึงข้อมูลล่าสุดได้
- AI Agent Builder Service: ความสามารถใหม่นี้จะช่วยให้นักพัฒนาแอปพลิเคชัน วิศวกร MLOps และนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลสามารถสร้างและปรับใช้ AI agent โดยใช้ LLM จาก Model Store และข้อมูลจาก Data Indexing & Retrieval Service