เอปสันหนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ใช้ความยั่งยืนปั้นธุรกิจ
เอปสันเดินหน้าผลักดันความยั่งยืนให้เติบโตยิ่งขึ้นในภาคธุรกิจ ล่าสุดดึงสามแบรนด์ธุรกิจคนรุ่นใหม่ อย่าง SHE KNOWS, Maddy Hopper และ Qualy ร่วมจัดสัมมนา ‘Day One with Sustainability’ เผยเคล็ดลับการปั้นธุรกิจให้สำเร็จจากความยั่งยืน ให้กับเหล่านักศึกษาที่เตรียมตัวเป็นเจ้าของกิจการในอนาคต จากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ตุลาคมและพฤศจิกายนนี้
เอปสัน ผู้ผลิตเทคโนโลยีการพิมพ์และโปรเจคเตอร์อันดับหนึ่งของโลก จับมือกับ SHE KNOWS แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นรักโลก Maddy Hopper แบรนด์รองเท้าจากวัสดุธรรมชาติของไทย และ Qualy แบรนด์สินค้าตกแต่งบ้านจากวัสดุรีไซเคิลที่ตีตลาดทั่วโลก จัดงานสัมมนาในหัวข้อ ‘Day One with Sustainability’ หรือ ‘ก้าวแรกธุรกิจด้วยความยั่งยืน’ เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวการใช้แนวคิดด้านความยั่งยืนมาสร้างธุรกิจให้สำเร็จจนเป็นที่นิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ โดยงานสัมมนาครั้งที่ 1 จะจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ณ ห้องเรียนรวม 10201 ในวันที่ 12 ตุลาคม และงานครั้งที่ 2 จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ณ ห้อง A3-301 ในวันที่ 18 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้
นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ตั้งแต่แรก เอปสันได้กำหนดแนวทางในการทำธุรกิจให้เดินคู่ไปกับการรักษาสภาพสิ่งแวดล้อมรอบบริษัทฯ ที่จังหวัดนากาโน่ ประเทศญี่ปุ่น ก่อนจะขยายขอบเขตความรับผิดชอบให้กว้างขึ้นจนเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการกำจัดสารซีเอฟซีที่ทำลายชั้นโอโซนออกจากกระบวนการผลิตทั้งหมดได้ในปี 1993 และได้เริ่มทำงานร่วมกับองค์การสหประชาชาติมาตั้งแต่ปี 2004 รวมถึงสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (UN Sustainable Development Goals)”
“ปัจจุบัน ความยั่งยืนไม่ใช่แค่ไอเดียเพื่อแคมเปญ CSR เท่านั้น องค์กรทั่วโลกตื่นตัวมากขึ้นกับการเชื่อมโยงธุรกิจ สินค้าและบริการเข้ากับคุณค่าด้านนี้ บางองค์กรยกให้ความยั่งยืนเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปอีกหลายสิบปีข้างหน้า ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ผู้คนหันมานิยมสินค้าจากผู้ผลิตที่ยึดถือความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจและเต็มใจที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกลุ่ม Millennial และ Gen Z ที่ไม่ได้เลือกซื้อสินค้าเพราะราคาเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและมีส่วนตอบแทนสังคม การที่ผู้ผลิตแสดงบทบาทในการรักษาสิ่งแวดล้อมจึงถือเป็นความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันทางธุรกิจอีกด้วย”
“เอปสันได้ใช้หลักความยั่งยืนตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผนผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต ตลอดจนถึงขั้นตอนบรรจุห่อและโลจิสติกส์ เพื่อรับประกันว่าผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นจะมีส่วนร่วมกับการรักษาสภาพสิ่งแวดล้อม อาทิ การพัฒนาเทคโนโลยี Heat-Free ที่ใช้ในเครื่องพิมพ์สำนักงาน ซึ่งไม่ใช้ความร้อนในกระบวนการพิมพ์ จึงช่วยประหยัดพลังงานได้มากกว่าเครื่องพิมพ์เลเซอร์ถึง 85% และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 85%”
“การที่เอปสันเชื่อมโยงความยั่งยืนเข้ากับกลไกธุรกิจตั้งแต่แรกเริ่ม ทำให้บริษัทฯ เป็นหนึ่งในองค์กรที่มีความชัดเจนและประสบความสำเร็จในการสร้างความเติบโตทางธุรกิจไปพร้อมกับการรักษาสิ่งแวดล้อมของโลกได้ ซึ่งนี่คือที่มาของการจัดงานสัมมนา หัวข้อ ‘Day One with Sustainability’ โดยเอปสัน ประเทศไทยได้รับเกียรติจากสามแบรนด์ ธุรกิจของคนไทยที่สร้างความเติบโตจากแนวคิดความยั่งยืน ได้แก่ SHE KNOWS, Maddy Hopper และ Qualy ทั้งยังได้รับความร่วมมือจากภาคการศึกษา โดยมหาวิทยาลัยชั้นนำที่โดดเด่นในด้านการสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ อย่างมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งบริษัทฯ หวังว่าความรู้และประสบการณ์ที่นักธุรกิจรุ่นใหม่จากทั้งสามแบรนด์ได้นำมาแบ่งปันจะเป็นประโยชน์และเป็นแรงบันดาลใจต่อนักศึกษา วิทยาลัยผู้ประกอบการ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และจากคณะการสร้างเจ้าของธุรกิจและการบริหารกิจการ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้นำความยั่งยืนไปใช้สร้างธุรกิจใหม่ๆ ของตนเอง หรือต่อยอดธุรกิจของครอบครัวต่อไปในอนาคต” นายยรรยง กล่าว
ด้านผู้ประกอบการทั้งสามแบรนด์ได้กล่าวถึงการผสานความยั่งยืนเข้ากับความคิดริเริ่มในการทำธุรกิจของตน โดยนางสาวปานไพลิน พิพัฒนสกุล ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ SHE KNOWS เสื้อผ้าแฟชั่นสตรี เจ้าของสโลแกน ‘Greener Fashion for All’ กล่าวว่า “แบรนด์ SHE KNOWS เกิดขึ้นในปี 2018 โดยนำแนวคิดด้านความยั่งยืนเข้ามาสร้างความแตกต่างและทางเลือกให้กับสินค้าเสื้อผ้าผู้หญิง โดยคำนึงถึงมาตรฐานที่ดีขึ้นใน 3 ด้าน ได้แก่ สิ่งแวดล้อม แรงงาน และลูกค้า SHE KNOWS ไม่เพียงแต่เลือกใช้ผ้ารีไซเคิล เศษผ้าเหลือจากโรงงาน แต่ยังใช้กรรมวิธีย้อมสีในระบบปิด ซึ่งไม่มีการปล่อยน้ำเสียลงสู่แหล่งน้ำ ส่วนแพคเกจจิ้งก็ใช้กระดาษรีไซเคิลและออกแบบให้ลูกค้าสามารถใช้ซ้ำ เผื่อส่งกลับหากกรณีที่ต้องการเปลี่ยนไซส์ ด้านแรงงาน ชุดของ SHE KNOWS ส่วนใหญ่เป็นแฮนด์เมด โดยช่างฝีมือคนไทย ไม่ได้ใช้เครื่องจักรในโรงงาน จึงช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และในส่วนของลูกค้า SHE KNOWS เน้นการตัดเย็บที่ประณีต ทนทานกว่าเสื้อผ้า Fast Fashion หลายเท่า แต่ราคาถูกกว่ามาก เมื่อเทียบกับแบรนด์เสื้อผ้าเพื่อสิ่งแวดล้อมจากต่างประเทศ ลูกค้าสามารถใช้ได้นาน ไม่ต้องรีบเปลี่ยน”
“SHE KNOWS เน้นการสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง โดยใช้สื่อออนไลน์และ word of mouth เน้นจุดเด่นมัดใจลูกค้าทั้งในด้านความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดีไซน์สไตล์ basic wear ใช้ได้บ่อยไม่เบื่อ ราคาที่จับต้องได้ และขนาดของชุด ที่มีให้เลือกมากถึง 18 ไซส์ในแต่ละคอลเล็กชั่น ซึ่งฐานลูกค้า 70% ของ SHE KNOWS มาจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ อายุระหว่าง 19-29 ปี โดยในปีนี้ มียอดซื้อสินค้าเข้ามาเพิ่มขึ้น และคาดว่าจะเติบโตไม่น้อยกว่า 50% จากปีก่อน นอกจากนี้ SHE KNOWS กำลังศึกษาเรื่องการทำตลาดส่งออก โดยจะเริ่มที่ตลาดในภูมิภาคนี้ก่อน รวมถึงตลาดชาวเอเชียที่เกิดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการเสื้อผ้าไซส์ใหญ่ และมีความสนใจในตัวสินค้าที่ช่วยลดผล กระทบต่อสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว ทั้งยังมีแผนจะขยายกำลังการผลิต และเพิ่มไลน์สินค้าขึ้นอีก”
อีกหนึ่งผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ SHE KNOWS นางสาวธัญญรัตน์ ตรีสุรมงคลโชติ กล่าวเสริมว่า “ความท้าทายในการทำธุรกิจด้วยความยั่งยืนคือต้นทุนการผลิต ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของผู้ประกอบการ ไม่ควรผลักให้เป็นภาระของผู้บริโภค SHE KNOWS พยายามค้นหาวัตถุดิบใหม่ๆ นำเรื่องของดีไซน์เข้ามาช่วย เลือกใช้ช่างตัดเย็บที่มีทักษะสูง โดยให้ผลตอบแทนที่ดี เพื่อได้คุณภาพงานที่ประณีต และตั้งราคาที่สมเหตุสมผล ผู้บริโภคสามารถจับต้องได้ง่าย เราต้องหาและรักษาจุดสมดุล เพื่อให้ทั้งธุรกิจ พาร์ทเนอร์ และลูกค้าได้รับประโยชน์ที่สมควร”
ด้านแบรนด์ Maddy Hopper รองเท้ารักษ์โลก โดยนายชาญ สิทธิญาวณิชย์ ผู้ร่วมก่อตั้ง กล่าวว่า “Maddy Hopper เริ่มทำการตลาดอย่างจริงจังมาปีกว่า โดยต้องการนำเสนอสินค้ารองเท้าที่ผสานฟังก์ชั่นเข้ากับความยั่งยืน ทั้งใส่ง่าย ดีไซน์สวย ราคาจับต้องได้ และต้องรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในตลาดเป็นแบรนด์ต่างประเทศ จึงเริ่มR&D โดยศึกษาวัตถุดิบธรรมชาติที่มีอยู่ในประเทศ และได้ค้นพบผ้าจากขวดพลาสติกรีไซเคิลที่นำมาทำเป็นตัวรองเท้า และยางพารารีไซเคิลสำหรับแผ่นรองด้านใน ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่สามารถรองรับน้ำหนักได้ดี ลดการเกิดแบคทีเรีย ทั้งยังช่วยการหมุนเวียนของเลือด นอกจากวัสดุที่ใช้ทำรองเท้า Maddy Hopper ยังเลือกใช้กระบวนการผลิตแบบแฮนด์เมด เพื่อลดการใช้เครื่องจักรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอน และใช้แพคเกจจิ้งที่ทำจากกระดาษรีไซเคิล และถุงห่อจากข้าวโพดและมันสำปะหลัง”
นายภาคิน โรจนเวคิน อีกหนึ่งผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Maddy Hopper เสริมว่า “กลุ่มลูกค้าที่สนใจ Maddy Hopper เป็นกลุ่ม Gen Y และ Z กว่า 80% เพราะชื่นชอบในคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ที่นำความยั่งยืนเข้ามาใช้ ปัจจุบัน แบรนด์ได้ทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก และมีแผนที่จะแตกไลน์สินค้าเพิ่มขึ้นจากรองเท้า แต่ยังยึดแนวทางรักษาสิ่งแวดล้อมเช่นเดิม และเตรียมจะเปิดจุดขายในโซน CBD อย่างน้อยอีก 2 จุด เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงและสัมผัสสินค้า Maddy Hopper ได้มากขึ้น โดยหลังจากทำตลาดอย่างจริงจังมาได้ปีกว่า คาดว่าภายในสิ้นปี 2565 จะมียอดขายเพิ่มขึ้น 30% และตั้งเป้าเติบโตอีกเท่าตัวในปี 2566 ก่อนจะทำตลาดส่งออกในปี 2 ปีจากนี้ โดยจะเริ่มที่ภูมิภาคนี้ก่อน เพราะมีพฤติกรรมการซื้อสินค้าแบบเดียวกับคนไทย”
“การใช้ความยั่งยืนมาเป็นส่วนในการทำธุรกิจเป็นเรื่องท้าทายอย่างมาก ทั้งในเรื่องของ Know How และดีกรีของความยั่งยืนในแต่ละขั้นตอนของธุรกิจ ซึ่งมีผลโดยตรงกับต้นทุนทั้งหมด นอกเหนือจากนั้นแล้ว แนวคิดในเรื่องของความยั่งยืนควรได้รับการยกระดับจนเป็นความรับผิดชอบที่ผู้ประกอบการต้องมี เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่เป็นแค่กลวิธีในการแข่งขันเพื่อผลทางธุรกิจ แต่เป็นสิ่งที่ทุกแบรนด์ควรมีอยู่ในดีเอ็นเอ”
ในส่วนของ Qualy แบรนด์สินค้าตกแต่งบ้านที่ทำจากวัสดุรีไซเคิลของคนไทย ซึ่งปัจจุบัน เป็นที่นิยมใน 66 ประเทศทั่วโลก เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เริ่มนับหนึ่งธุรกิจพร้อมกับความยั่งยืน โดยนายทศพล ศุภเมธีกูลวัฒน์ ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด Qualy Design กล่าวว่า “Qualy เริ่มสร้างแบรนด์เมื่อ 18 ปีที่แล้ว โดยยึดหลักความยั่งยืนมาตั้งแต่คอลเล็กชั่นแรก ทั้งวัสดุที่เลือกใช้เป็นวัสดุรีไซเคิล ช่วยลดการนำทรัพยากรใหม่มาใช้ การออกแบบผลิตภัณฑ์ก็คำนึงถึงอายุการใช้งานที่ยาวนาน และลดการใช้ทรัพยากร ส่วนบรรจุภัณฑ์ก็มีขนาดเล็กหรือน้ำหนักเบา เพื่อประหยัดการขนส่ง ช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงและการปล่อยมลพิษจากยานพาหนะ นอกจากนี้ ทุกผลิตภัณฑ์ยังเน้นการสื่อสารปัญหาสิ่งแวดล้อมไปสู่ผู้บริโภค ปัจจุบัน Qualy ได้รับความนิยมอย่างมากจากกลุ่มผู้ที่ชอบตกแต่งบ้าน ชอบไลฟ์สไตล์ที่ดี และใส่ใจต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งนับวันฐานลูกค้ากลุ่มนี้จะขยายเพิ่มมากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ”
“Qualy ทำตลาดทั้งในประเทศและตลาดส่งออกมาตั้งแต่เริ่มต้น แต่ตลาดต่างประเทศให้การตอบรับมากกว่าและรวดเร็วกว่า เนื่องจากผู้คนตื่นตัวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมและพิถีพิถันกับการตกแต่งบ้านและการใช้ชีวิตประจำวัน Qualy ขยายตลาดต่างประเทศ ผ่านการเปิดบริษัทกระจายสินค้าของตัวเองและร่วมมือกับตัวแทนจำหน่าย เพื่อนำสินค้าไปขายในประเทศต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีตลาดอยู่ในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ตะวันออกกลาง ญี่ปุ่น จีน ออสเตรเลีย และทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนในเมืองไทย มีสินค้า Qualy จำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และผ่านช่องทางออนไลน์ แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สังคมธุรกิจตื่นตัวกับกระแสความยั่งยืนอย่างมาก องค์กรธุรกิจจำนวนมากหันมาจริงจังกับประเด็นสิ่งแวดล้อม ถึงขั้นนำความยั่งยืนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการออกแบบและผลิตสินค้า นอกเหนือจากกิจกรรม CSR ทำให้ Qualy ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับองค์กรขนาดใหญ่จำนวนมาก”
“การทำธุรกิจด้วยความยั่งยืนจำเป็นต้องหาจุดสมดุลที่ว่าธุรกิจต้องสามารถเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน พร้อมกับสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนด้วย เพราะธุรกิจที่ใช้วัสดุรีไซเคิลจะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าธุรกิจทั่วไป เพื่อทำให้สินค้ามีความแตกต่าง สินค้ารักษ์โลกในอดีตเป็นเรื่องของแฟชั่น คนใช้จำกัดอยู่ในวงแคบ เพราะมีราคาสูง แต่ Qualy พยายามที่จะทำให้สินค้านี้กลายเป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ มีราคาจับต้องได้ เข้าถึงคนได้จำนวนมาก” นายทศพล กล่าว