November 24, 2024

CPW จับมือแบรนด์มือถือสุดฮอต ‘Nothing’ บุกตลาดไทย เตรียมนำ Nothing Phone (1) วางจำหน่ายผ่าน KOAN และ dotlife 26 ส.ค.นี้

ตลาดสมาร์ทโฟนในไทยระอุอีกครั้ง เมื่อ ‘Nothing’ แบรนด์น้องใหม่ สัญชาติอังกฤษ แต่งตั้งให้ ‘dotlife’ ร้านค้าปลีกสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ตัวจริงเสียงจริง ภายใต้การบริหารของ “บมจ.คอปเปอร์ไวร์ด (CPW)” เป็นช่องทางการจำหน่ายสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุด “Nothing Phone (1)” ที่ฉีกทุกดีไซน์ของสมาร์ทโฟนแบบที่ไม่เคยมีแบรนด์ไหนในโลกทำมาก่อน

โดยมี ‘โคแอน (KOAN)’ ได้รับแต่งตั้งเป็น Sole Distributor ในประเทศไทย พร้อมบุกตลาดปลุกกระแสนี้ไปด้วยกัน เพื่อให้คุณไม่พลาดการเป็นเจ้าของเทคโนโลยีสุดล้ำที่ทุกคนรอคอย ‘Nothing Phone (1)’ ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 18,900 บาท เปิดพรีออร์เดอร์แล้ววันนี้ – 25 สิงหาคม 65 และเตรียมวางจำหน่ายวันที่ 26 สิงหาคมนี้ พบกันได้ที่ dotlife ทุกสาขา และช่องทางออนไลน์

นายปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอปเปอร์ ไวร์ด จำกัด (มหาชน) (CPW) เปิดเผยว่า บริษัท โคแอน (KOAN) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม CPW ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายสินค้าแก็ดเจ็ตแบรนด์ชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลก ได้เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตของแบรนด์เทคโนโลยีน้องใหม่จากประเทศอังกฤษ ‘Nothing’ ที่ปัจจุบันมีกระแสฮอตทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ Nothing ไว้วางใจให้ KOAN เป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย และยังไว้วางใจเลือกร้าน dotlife ผู้นำเข้าสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์สุดล้ำในไทยภายใต้การบริหารของ CPW ให้เป็นร้านค้าปลีกสินค้าเทคโนโลยีเพียงแห่งเดียวในปัจจุบันที่วางจำหน่ายสินค้าของ Nothing สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นว่า dotlife เป็นแหล่งรวมแก็ดเจ็ตและสมาร์ทโฟนที่เป็นเทรนด์ของโลก ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้า สอดคล้องกับคอนเซ็ปต์ Nothing Phone (1) ซึ่งเรามั่นใจว่า จะสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ลูกค้าของเราชื่นชอบ เติมสีสันและความสุขในชีวิตประจำวันได้ ล่าสุดได้จัดงานเปิดตัวสมาร์ทโฟนเครื่องแรกของแบรนด์ ‘Nothing Phone (1)’ ที่สุดของนวัตกรรมสมาร์ทโฟนยุคใหม่ที่คิดค้นขึ้นมาจากสัญชาตญาณที่แท้จริง และจะเป็นจุดเชื่อมโยงสู่ระบบ ecosystem ของผลิตภัณฑ์สู่ประเทศไทยต่อไป ‘Nothing Phone (1)’ ยังประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากหลังจากที่เปิดตัวไปในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์

ด้วยคุณสมบัติของ Nothing Phone (1) นำเสนอเทคโนโลยี Glyph  Interface ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ มาพร้อมกับฝาหลังโปร่งใส และลูกเล่นเส้นไฟ LED สีขาวที่อยู่ด้านหลังเครื่อง ถูกออกแบบมาให้สามารถกะพริบตามเสียงเรียกเข้าได้ และสามารถปรับใช้ตามต้องการ เพิ่มความน่าตื่นเต้นในการใช้งานมือถือ ซึ่งยังไม่มีแบรนด์ไหนทำฟีเจอร์นี้มาก่อน มาพร้อมกับกล้องคู่ประสิทธิภาพสูง ความละเอียดเท่ากันคือ 50 ล้านพิกเซล รวมไปถึงระบบปฏิบัติการ Nothing OS ฉบับปรับปรุงใหม่ อีกทั้งยังมีจอแสดงผล OLED 120Hz และชิปเซ็ต Qualcomm@Snapd ragon TM 778G+ ที่ปรับแต่งขึ้นมาโดยเฉพาะ และทรงพลัง รวมถึงการชารจ์แบบไร้สาย และ reverse charging 

Nothing Phone (1) จึงถือเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีที่ทุกคนรอคอยมากที่สุดในรอบหลายปี โดยราคาและการวางจำหน่าย Nothing Phone (1) มีสีขาว (White) และดำ (Black) มีทั้งหมดสามรุ่นดังนี้ 12+256GB ราคา 20,900 บาท 8+256GB ที่ 18,900 บาท และ 8+128GB ที่ 17,900 บาท (เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป) โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยวันที่ 26 สิงหาคมนี้ ผ่านร้าน dotlife, Koan Online และ Nothing Official Store บนแพลตฟอร์ม Lazada

นายปรเมศร์ กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า “แบรนด์ Nothing แม้เป็นแบรนด์น้องใหม่ในวงการมือถือ แต่จริง ๆ แล้วผู้ก่อตั้ง Carl Pei, CEO และ Co-Founder จาก Nothing เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง OnePlus มาก่อน ซึ่งได้พัฒนาสมาร์ทดีไวซ์ออกมาอย่างน่าทึ่ง และไว้วางใจกลุ่ม CPW เข้ามาร่วมปลุกกระแสตลาดสมาร์ทโฟนในเอเชีย รวมถึงในประเทศไทยไปด้วยกัน เรารู้สึกอดใจไม่ไหวที่จะให้ลูกค้าของเราได้มาสัมผัสกับ Nothing Phone (1) ซึ่งมีความโดดเด่นด้านดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจในเทคโนโลยี และสามารถเติมสีสันทำให้ไลฟ์สไตล์มีความแปลกใหม่ ไม่จำเจอีกต่อไป ที่สำคัญคือไม่ได้มีดีแค่รูปร่างหน้าตาเท่านั้น เพราะสเปคอื่น ๆ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เป็นสมาร์ทโฟนที่มากกว่าสมาร์ทโฟน และ CPW จะยังคงเดินหน้าตอบสนองความต้องการของลูกค้า และตอกย้ำการเป็นผู้นำในธุรกิจไอทีแก็ดเจ็ตต่อไป จึงอยากให้ทุกคนรอติดตาม”

ทั้งนี้ นอกเหนือจากการวางจำหน่ายในสหราชอาณาจักรแล้วนั้น Nothing Phone (1) ยังจะได้รับการวางจำหน่ายที่ประเทศเดนมาร์ก, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ฮ่องกง, ฮังการี, อินเดีย, อิสราเอล, อิตาลี, มาเก๊า, มาเลเซีย, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, ฟิลิปปินส์, โปแลนด์, โปรตุเกส, โรมาเนีย, ซาอุดีอาระเบีย, สเปน, สิงคโปร์, สวีเดน, สวิตเซอร์แลนด์, ไต้หวัน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และไทย