จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยกระดับระบบเครือข่ายไร้สาย เพื่อก้าวสู่การเป็น Digital Lifestyle University
ในฐานะของมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดของประเทศที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ก็เป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาที่ไม่ยอมหยุดนิ่งในการนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาช่วยขยายโลกการเรียนรู้ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการเรียนการสอนของนิสิตและคณาจารย์ ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรในมหาวิทยาลัย สอดรับกับแนวคิดของการปรับโฉมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสู่การเป็น “Digital Lifestyle University” ด้วยการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานทุกแพลตฟอร์มของมหาวิทยาลัยเข้าไว้ด้วยกัน และจะทำให้ไลฟ์สไตล์ของนิสิต คณาจารย์ และบุคลากร มีความสะดวกสบายขึ้น สามารถเติมเต็มศักยภาพในการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบได้ทุกวันทั้งขณะอยู่ในและนอกรั้วมหาวิทยาลัย
อย่างไรก็ตาม โครงสร้างพื้นฐานด้านระบบเครือข่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบเครือข่ายไร้สายถือเป็นสิ่งสำคัญ และมีความจำเป็นอย่างมากในการขับเคลื่อนแนวคิดดังกล่าวให้กลายเป็นจริง จึงเป็นที่มาของการรวมศูนย์ระบบเครือข่ายไร้สายทั้งมหาวิทยาลัย เพื่อให้การบริหารจัดการ วางแผนการขยายตัวในอนาคต และต่อยอดไปสู่โซลูชันดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยต่อไปในอนาคต
ความท้าทาย
สถาบันการศึกษาในยุคดิจิทัลต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายมากมายเช่นเดียวกับธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จากการเรียนการสอนภายในห้องเรียนของอาจารย์และนิสิต สู่โลกออนไลน์ที่มีการทำกิจกรรม มีการโต้ตอบกัน มีการทำงานกลุ่ม เพื่อที่จะเสริมทักษะอื่นที่ไม่ใช่เป็นเรื่องของเนื้อหาเพียงอย่างเดียว เนื่องจากนิสิตสามารถค้นหาข้อมูลและเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ภายในห้องเรียนเหล่านั้นได้จากอินเทอร์เน็ต และสามารถเรียนรู้ทางออนไลน์ได้จากทุกที่ทุกเวลา จึงทำให้การเชื่อมต่อและสื่อสารไร้สายกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่สำคัญสำหรับการเรียนการสอนในยุคดิจิทัลของทุกมหาวิทยาลัย
อย่างไรก็ตาม จุฬาฯ ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายในการให้บริการเครือข่ายไร้สายเช่นเดียวกับสถานศึกษาขนาดใหญ่ทั่วไปก็คือ ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยมีการให้บริการเครือข่ายไร้สายภายใต้ชื่อ Chula WiFi ให้บริการครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 600 ไร่ 150 อาคาร 750 ชั้น และมีจำนวนผู้ใช้รวมกว่า 50,000 คน แต่เนื่องจากรูปแบบการลงทุนทางด้านไอทีของมหาวิทยาลัยมีลักษณะเป็นแบบ “กระจายศูนย์” แยกกันซื้อ แยกกันลงทุน แยกกันบริหารจัดการ ซึ่งคณะหรือหน่วยงานผู้ดูแลรับผิดชอบในแต่ละพื้นที่จะวางแผน จัดหา และติดตั้งอุปกรณ์เครือข่ายไร้สายต่างๆ ด้วยตนเอง ทำให้ระบบเครือข่ายไร้สายในมหาวิทยาลัยมีลักษณะเป็น Silo-Based เมื่อการลงทุนเป็นไปในลักษณะของต่างคนต่างซื้อ ต่างคนต่างดูแล ปัญหาที่ตามมาก็คือคุณภาพและบริการของระบบเครือข่ายไร้สายแต่ละคณะไม่เท่าเทียมกัน โดยขึ้นอยู่กับงบประมาณที่ได้รับจัดสรรและความรู้ความเชี่ยวชาญของเจ้าหน้าที่ไอทีในแต่ละคณะ
คุณรุ่งโรจน์ กิตติถาวรกุล ผู้อำนวยการสำนักบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “ด้วยรูปแบบการจัดสรรงบประมาณ และลงทุนทางด้านไอทีกันเองของแต่ละคณะ แต่ละหน่วยงาน จึงไม่แปลกเลยว่าที่ผ่านมาการให้บริการเครือข่ายไร้สายภายในมหาวิทยาลัยมีปัญหาตามมามากมาย ทั้งคุณภาพสัญญาณที่ไม่ดีทั้งในแง่ความครอบคลุมพื้นที่และความเร็วในการเชื่อมต่อ ขณะเดียวกันประสิทธิภาพการทำงานของระบบเครือข่ายไร้สายของแต่ละคณะก็ไม่เท่ากัน อย่างเช่นคณะด้านสายสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ คุณภาพของบริการเครือข่ายไร้สายก็ต่ำกว่า เพราะมักมองว่านิสิตสายนี้ไม่จำเป็นต้องใช้งานด้านไอทีและเครือข่ายไร้สายมากเท่านิสิตของคณะด้านสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวนการติดตั้งแอ็กเซสพอยนต์ก็จะน้อยกว่า
ซึ่งในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทุกวันนี้นิสิตใช้มือถือกันทุกคน ต้องการใช้บริการเครือข่ายไร้สายทุกที่ทุกเวลา พอเกิดปัญหานิสิตก็มักมองว่าระบบบเครือข่ายไร้สายของมหาวิทยาลัยคุณภาพแย่ ทั้งที่ความจริงแต่ละคณะก็ลงทุนติดตั้งระบบเครือข่ายไร้สายและดูแลกันเอง ซึ่งรูปแบบการลงทุนทางด้านไอทีของจุฬาฯ ก็มีลักษณะเป็นแบบกระจายศูนย์มานานนับ 10 ปีแล้ว เมื่อต่างคนต่างซื้อ ต่างคนต่างติดตั้ง ระบบเครือข่ายไร้สายก็เชื่อมต่อกันอย่างไม่ราบรื่นและเป็นเนื้อเดียวกัน”
คุณรุ่งโรจน์ชี้ให้เห็นถึงอีกปัญหาหนึ่ง มาจากบางคณะมีการติดตั้งจุดแอ็กเซสพอยนต์ที่ไม่สอดคล้องกับการสภาพพื้นที่และไม่สมดุลกับจำนวนผู้ใช้งาน โดยคณะส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับการให้บริการเครือข่ายไร้สายเฉพาะในห้องเรียนเป็นหลัก ขณะที่โถงใต้อาคารเรียนหรือลานกิจกรรมกลับใช้บริการเครือข่ายไร้สายไม่ค่อยได้ ทำให้เวลานิสิตออกมาอยู่นอกพื้นที่การเรียนการสอนก็อาจจะมีปัญหาในเรื่องการใช้บริการเครือข่ายไร้สาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเดินออกนอกคณะ หากเกิดปัญหาการใช้บริการเครือข่ายไร้สายก็ไม่รู้จะไปติดต่อใครดี จะเป็นของคณะ หรือส่วนกลาง”
การรวมศูนย์เครือข่ายไร้สายที่อยู่กันอย่างกระจัดกระจายเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ใช้งานได้ในทุกที่ทุกเวลา จึงถือเป็นความท้าทายของมหาวิทยาลัย
แนวทางการดำเนินงาน
เนื่องจากบริบทด้านการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยมีการเปลี่ยนแปลงไป มหาวิทยาลัยจึงมีการปรับปรุงห้องเรียนให้มีความทันสมัยและขยายขอบเขตออกไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นพื้นที่การให้บริการเครือข่ายไร้สายก็จะไม่เพียงพอ เราก็ต้องมีการวางแผนปรับปรุงระบบเครือข่ายไร้สายทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยก็เห็นประโยชน์ในจุดนี้ พร้อมทั้งให้ความสำคัญและสนับสนุนการดำเนินโครงการดังกล่าว โดยเฉพาะในด้านการลงทุนก็มีการปรับเปลี่ยนการใช้งบประมาณจากแบบต่างคนต่างลงทุนกันเองมาเป็นการลงทุนร่วมกัน รวมทั้งมีการวางแผนงบประมาณในระยะยาว 5 ปี อดีตที่ผ่านมาจะเป็นในลักษณะการวางแผนงบประมาณแบบปีต่อปี ซึ่งงบประมาณทางด้านไอทีที่ได้รับการจัดสรรก็มีอย่างจำกัด ในแต่ละปีจะมีงบประมาณในการลงทุนติดตั้งแอ็กเซสพอยนต์ใหม่และทดแทนแอ็กเซสพอยนต์เดิมที่หมดอายุได้มากสุดปีละไม่เกิน 100 ตัวเท่านั้น
ซึ่งคุณรุ่งโรจน์ประเมินว่าในปีแรกของการดำเนินงานจำเป็นต้องใช้แอ็กเซสพอยนต์กว่า 2,000 ตัว ในการปรับปรุงระบบเครือข่ายไร้สายทั้งมหาวิทยาลัย จึงจะสามารถเปลี่ยนการให้บริการเครือข่ายไร้สายในมหาวิทยาลัยให้ดีขึ้นแบบหน้ามือเป็นหลังมือได้ในระยะเวลาสั้นๆ ประกอบกับทางมหาวิทยาลัยมีโครงการ CU Transformation ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทุกภาคส่วน โดยจะมีการนำระบบไอทีมาประยุกต์ใช้งานกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากโครงสร้างพื้นฐานทางด้านระบบเครือข่ายทั้งแบบมีสายและไร้สายของเราไม่แข็งแรงพอ ก็ไม่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้
หลังจากชี้แจงให้ผู้บริหารทราบและเข้าใจถึงความจำเป็น และประโยชน์ที่จะได้รับจากการรวมศูนย์เครือข่ายไร้สายแล้ว ก็เป็นเรื่องของการบริหารจัดการทีมงานไอทีที่กระจัดกระจายอยู่ตามคณะและหน่วยงานต่างๆ ซึ่งมีอยู่กว่า 100 ชีวิต ให้มีความเข้าใจและสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น บริหารจัดการระบบเครือข่ายไร้สายได้อย่างเป็นเนื้อเดียวกัน รวมทั้งมีการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ผสานจุดแข็งของคณะและส่วนกลางเข้าด้วยกันโดยแต่ละคณะมีจุดแข็งในเรื่องของความเข้าใจในตัวของผู้ใช้บริการ (Customer Understanding) กล่าวคือ การรู้จักสภาพพื้นที่ รู้จักนิสิต/อาจารย์/บุคลากรภายในคณะ รวมทั้งทราบถึงพฤติกรรมการใช้บริการเครือข่ายไร้สายภายในคณะเป็นอย่างดี
ในขณะที่ทีมงานส่วนกลาง(สำนักบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศ) มีจุดแข็งในเรื่องขององค์ความรู้และประสบการณ์ในการบริหารจัดการระบบเครือข่ายเป็นอย่างดี (Knowledge and Experience) ซึ่งถือเป็นการพลิกโฉมการทำงานจาก silo-based ในรูปแบบเดิมๆ ไปเป็นการทำงานในรูปแบบใหม่ลักษณะ Cross-Functional โดยมุ่งเน้นไปที่การส่งมอบบริการและประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งานทั้งมหาวิทยาลัย (Customer Experience and Service Excellence)
หลังแนวคิดและแนวทางการรวมศูนย์ระบบเครือข่ายไร้สายผ่านความเห็นชอบของผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัย และผู้บริหารของแต่ละคณะ ทีมงานไอทีจากส่วนกลางของมหาวิทยาลัยก็ได้เริ่มเข้าไปสำรวจระบบเครือข่ายไร้สายที่กระจายอยู่ตามคณะและหน่วยงานต่างๆ เพื่อประเมินสถานะการทำงานของระบบ และใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการดำเนินการรวมศูนย์ระบบเครือข่ายไร้สาย
ซึ่งปัญหาหลักๆ ที่สำรวจพบ อาทิ สัญญาณเครือข่ายไร้สายไม่ดี เนื่องจากการติดตั้งแอ็กเซสพอยนต์ไม่ครอบคลุมและสอดคล้องกับสภาพพื้นที่ มีสัญญาณเครือข่ายไร้สายแต่เกาะไม่ได้ เนื่องจากปริมาณการใช้งานมีมากเกินกว่าแอ็กเซสพอยนต์ในบริเวณดังกล่าวจะรองรับได้ สัญญาณเครือข่ายไร้สายดีแต่ใช้งานแล้วช้า เนื่องจากสัญญาณเครือข่ายไร้สายใช้ช่องสัญญาณร่วมกันกับระบบงานเครือข่ายอื่นๆ ของคณะ รวมทั้งความสับสนในการติดต่อและแจ้งปัญหา กรณีเกิดปัญหาเครือข่ายไร้สายขึ้น เนื่องจากมีการแบ่งแยกพื้นที่ความดูแลระหว่างคณะและส่วนกลาง ทำให้เราสามารถแยกประเด็นปัญหาทั้งหมดออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ ปัญหาคุณภาพสัญญาณ และปัญหาคุณภาพบริการ
หลักเกณฑ์ในการเลือกโซลูชัน
คุณรุ่งโรจน์เล่าถึงหลักเกณฑ์ในการพิจารณาและคัดสรรโซลูชันสำหรับโครงการดังกล่าวนี้ว่า เราเริ่มต้นคิดและประเมินจาก Why ซึ่งเป็นแก่นแท้ของโจทย์ในการดำเนินโครงการนี้ก่อนเป็นลำดับแรก แล้วตามด้วย How วิเคราะห์และวางแนวทางในการดำเนินโครงการ สุดท้ายคือ What พิจารณาถึงเทคโนโลยีและโซลูชันที่จะมาตอบโจทย์และแนวทางการดำเนินโครงการที่วางไว้
Why คือ การตอบโจทย์ในเรื่องของคุณภาพสัญญาณ และคุณภาพบริการ
How คือ การวิเคราะห์และกำหนดแนวทางการปรับปรุงระบบเครือข่ายไร้สายทั้งทางด้านเทคนิคและการบริการ ได้แก่ กำหนดให้มีการแยกอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบเครือข่ายไร้สายออกจากระบบงานอื่นๆ กำหนดให้มีการสำรวจและวางแนวแอ็กแซสพอยนต์ใหม่ให้ครอบคลุม (Coverage) และเพียงพอ (Density) ต่อการใช้งาน กำหนดให้มีการทดแทนแอ็กเซสพอยนต์ที่หมดอายุและเสื่อมสภาพ รวมทั้งกำหนดบทบาทและกระบวนการบริหารจัดการระบบเครือข่ายไร้สายทั้งคณะและส่วนกลางให้มีการทำงานประสานเป็นเนื้อเดียวกัน
What คือ การประเมินเทคโนโลยีและโซลูชันในตลาด ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของเรา โดยโซลูชันที่เลือกจะต้องอยู่ในทิศทางของเทคโนโลยี แบรนด์มีความน่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับ มีผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ให้คำปรึกษาและบริการ สุดท้ายต้องคุ้มค่าต่อการลงทุนและใช้งาน ซึ่งโซลูชันและผลิตภัณฑ์ของทางซิสโก้สามารถตอบโจทย์ของมหาวิทยาลัยได้
ผลลัพธ์ที่ได้จากการวมศูนย์ระบบเครือข่ายไร้สาย
- สัญญาณเครือข่ายไร้สายสามารถครอบคลุมและเพียงพอต่อการใช้งาน ทั้งพื้นที่ภายในห้องเรียนและพื้นที่ภายนอกห้องเรียน
- สามารถเชื่อมต่อและใช้งานระบบเครือข่ายไร้สายแบบไร้รอยต่อได้จากทุกพื้นที่และทุกเวลา
- นิสิต คณาจารย์ และบุคลากร สามารถใช้ประโยชน์จากระบบเครือข่ายไร้สายในด้านการเรียนการสอน และการทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- บริหารจัดการและให้บริการระบบเครือข่ายไร้สายทั่วทั้งมหาวิทยาลัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถต่อยอดการให้บริการใหม่ๆ ในอนาคตได้ง่ายขึ้น
“หากนับเวลาตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมการ วางแผน และดำเนินการวางระบบ Chula WiFi ใหม่ทั้งหมดให้เป็นแบบรวมศูนย์ เพื่อให้สามารถให้บริการครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 600 ไร่ 150 อาคาร 780 ชั้น ประกอบด้วยคณะ สำนักวิชาการ วิทยาลัย บัณฑิตวิทยาลัย โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ และอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 25 แห่ง โดยมีจำนวนผู้ใช้รวมกันกว่า 50,000 คน ใช้เวลาเพียง 8 เดือนเท่านั้น ซึ่งผลตอบรับภายหลังจากปรับปรุงระบบทั้งหมดเสร็จเรียบร้อย และเริ่มใช้งานจริงในเดือนสิงหาคม 2561 ถือว่าเป็นไปอย่างน่าพอใจ เพราะแทบไม่มีเสียงบ่นเกี่ยวกับการใช้งานเครือข่ายไร้สายเหมือนในอดีต”
สิ่งที่ประทับใจซิสโก้
ซิสโก้ถือเป็นหนึ่งในพันธมิตรด้านระบบเครือข่ายที่สำคัญของมหาวิทยาลัย มีการทำงานและความร่วมมือผ่านโครงการต่างๆกับมหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่อง ให้คำปรึกษาทางด้านเทคนิค และถ่ายทอดองค์ความรู้สำหรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้อยู่เสมอ รวมทั้งการให้บริการอย่างมืออาชีพ
การพัฒนาในอนาคต
ทิศทางการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยจะมุ่งไปสู่การเป็น Digital Lifestyle University ควบคู่กับการดำเนินโครงการ CU Transformation ซึ่งจะเป็นการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับกระบวนการเรียนการสอน การวิจัย และการทำงาน ให้เป็นดิจิทัลมากขึ้น ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นและขาดไม่ได้เลยก็คือการมีระบบโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการใช้งานสำหรับโครงการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ณ ปัจจุบันเรารู้สึกพอใจในระดับหนึ่งกับระบบเครือข่ายไร้สายที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ แต่เราคงไม่หยุดเพียงเท่านี้ โดยในปีแรก 2561 เราได้ปรับปรุงบริการเครือข่ายไร้สายให้ครอบคลุมและเพียงพอต่อการใช้งานในพื้นที่การเรียนการสอน โดยสามารถการันตีความเร็วที่ 100 Mbps
สำหรับปีที่ 2 คือ ในปี 2562 นี้ จะเป็นการปรับปรุงระบบเครือข่ายไร้สาย (WiFi) เพิ่มเติมในส่วนของลานกิจกรรมและพื้นที่ภายนอกห้องเรียนของคณะต่างๆ เพื่อให้การใช้งานระบบเครือข่ายไร้สาย (WiFi) เป็นไปอย่างต่อเนื่องและไร้รอยต่อ รวมทั้งจะเพิ่มบริการ Self-service Guest WiFi สำหรับแขกและบุคคลทั่วไปที่เข้าติดต่อภายในมหาวิทยาลัย ให้สามารถใช้บริการ WiFi ได้ฟรี โดยไม่ต้องยุ่งยากและเสียเวลาในการไปขอรหัสในการใช้งานเครือข่ายไร้สายจากเจ้าหน้าที่เหมือนแต่ก่อน เพียงแค่ลงทะเบียน ยืนยันข้อมูลส่วนบุคคลก่อนการเข้าใช้บริการ
ส่วนในปีที่ 3 คือในปี 2563 จะนำ Big Data มาวิเคราะห์ เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้ระบบเครือข่ายไร้สายมากขึ้น เพราะในแต่ละพื้นที่ แต่ละคณะมักจะมีการปรับปรุงสถานที่กันอยู่เสมอ ซึ่งสิ่งก่อสร้างบางอย่างอาจส่งผลกับการทำงานของแอ็กเซสพอยนต์ที่ติดตั้งไว้ตามจุดเหล่านั้น ซึ่งการใช้ Big Data จะทำให้เราสามารถตรวจจับสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับระบบเครือข่ายไร้สาย และสามารถหาทางแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ต้องรอให้ผู้ใช้เจอปัญหาแล้วโทรเข้ามาแจ้งเหมือนเมื่อก่อน ขณะเดียวกันเมื่อมีข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานแล้ว ก็สามารถนำไปใช้ในการวางแผนลงทุนติดตั้งระบบเครือข่ายไร้สายในอนาคตได้ พื้นที่ไหนมีคนใช้งานเครือข่ายไร้สายเป็นจำนวนมากก็ต้องมีการลงทุนติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม พื้นที่ไหน มีคนใช้น้อยก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่ม
เพราะฉะนั้นน้ำหนักของการลงทุนระบบเครือข่ายไร้สายก็ไม่ใช่เรื่องของการครอบคลุมพื้นที่ของสัญญาณ และความเร็วของเครือข่ายเหมือนในอดีตอีกต่อไป แต่จะเป็นเรื่องของการตอบสนองการใช้งานของผู้ใช้ในแต่ละพื้นที่เป็นหลัก ซึ่งเรื่องนี้เราจะทำต่อเนื่องไปอีก 4 ปี
ข้อแนะนำสำหรับสถานศึกษาอื่นๆ
สำหรับ Chula WiFi นั้น มิใช่เรื่องของเทคโนโลยี (Technology) เพียงอย่างเดียว แต่มีอีก 2 ด้านที่ต้องพิจารณาร่วมด้วย ได้แก่
- เรื่องของคน (People) ซึ่งประกอบด้วย ผู้รับบริการ (Customer) หมายถึง นิสิต คณาจารย์ และบุคลากรที่ใช้บริการเครือข่ายไร้สาย ส่วนอีกกลุ่มเป็นคนทำงาน (Staff) ซึ่งก็คือทีมงานไอทีของเรา ว่ามีอัตรากำลังเพียงพอหรือไม่
- เรื่องของกระบวนการ (Process) ซึ่งประกอบด้วย กระบวนการให้บริการ (Service Process) และกระบวนการดำเนินงาน (Operational Process) จำเป็นต้องพิจารณาร่วมด้วยเสมอ ว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนอย่างไร เพื่อตอบโจทย์ Why ของเรา